การสร้างชาติอย่างยั่งยืน (sustainable nation building) ด้วยความสงบสยบความเคลื่อนไหว
โลกเราทุกวันนี้ต้องแข่งขันกันเพื่อทำสถิติความเจริญรุ่งเรือง เป็นการวัดผลกันเพื่อดูว่าใครดีกว่าใคร และทุกวันนี้ข้อมูลข่าวสารไปทั่วทั้งโลกจากเครื่องจักรข้อมูลข่าวสารอินเตอร์เน็ต ดังนั้นรัฐบาลในอนาคตควรมีวิสัยทัศน์มองไปข้างหน้า 10-20 ปี แต่สิ่งสำคัญคือประเทศไทยไม่ควรกระทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อทำให้สถิติความก้าวหน้าของเราไปอยู่ลำดับต้น ๆของประเทศซึ่งควรพิจารณาดังนี้
1. ลดการทำลายคู่แข่งทางการเมือง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ปัดแข้งปัดขาทางการเมือง ให้โอกาสผู้มาเป็นรัฐาล
2. สื่อทีวี และสื่อทั้งหลายไม่ควรส่งเสริมสิ่งที่สร้างปัญหาประเทศ เช่นการออกข่าวเกี่ยวกับการโจมตีทางการเมืองของคนเพียงไม่กี่คน เว้นแต่เป็นการเรียกร้องโดยกลุ่มบุคคล แต่สื่อไม่ควรออกข่าวในเชิงยั่วยุ, หรือทำให้คู่แข่งทางการเมืองทะเลาะเบาะแว้งกัน และผู้ที่ทำหน้าที่สื่อไม่ควรส่งเสริมคำพูดที่ยั่วยุการรัฐประหาร ซึ่งเท่ากับสื่อกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ำทำลายระบบประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ควรแพร่ภาพที่ไม่สร้างสรรค์ สื่อควรวางตนเป็นกลางไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนื่ง
3. ไม่ส่งเสริมวาทะกรรมโต้ตอบซึ่งกันและกัน ปล่อยให้คนที่พูดไม่ดีพูดอยู่คนเดียวโดยเฉพาะระดับผู้นำ โดยไม่ต้องไปสนใจวาทะกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเราหยุดคนอื่นก็จะหยุดโต้ตอบวาทะกรรมที่นำไปสู่ความ
ความไม่สงบของบ้านเมือง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชน และประเทศชาติทำให้ประเทศขาดทุนในหลาย ๆอย่างทำให้ต่างประเทศไทยไม่มั่นคง, ไม่ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน คล้าย ๆ กับว่าหากเราไปเช่าร้านค้าขายของที่เจ้าของบ้านสามีำภรรยาทะเลาะกันเรื่อย ๆ ทำให้คนเช่าเบื่อหน่ายก็จะหนึออกไปหาเช่าร้านที่อื่น ๆ รวมทั้งลูกค้าก็ไม่อยากซื้อสินค้าด้วย
4. ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย หรือไม่มีจิตสำนึกหรือจิตวิญญาณประชาธิปไตย เพราะอาจติดเชื้อแนวคิดเผด็จการไปโดยไม่รู้ตัว
5. ส่งเสริมให้คนในสังคมมีความรักเอื้ออาทรต่อผู้อื่นโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ พูดแต่คำที่เป็นบวก เพราะมาจากความคิดเชิงบวก (positive thinking) คำพูดที่เป็นลบไม่ควรฟัง แต่ก็ส่งเสริมการวิพากย์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะเป็นเสรีภาพทางประชาธิปไตย
6. ลืมอดีตในสิ่งที่เลวร้าย ลบภาพเก่า ๆ และหันหน้าเข้าหากัน เปิดใจให้กว้าง ลดการเกลียดกันโกรธกัน ใช้ความดีชนะสิ่งที่ไม่ดี ให้อภัยซึ่งกันและกันไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน ถือว่าทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่เห็นประโยชน์ของชาติบ้านเมือง เพียงแต่ความคิดต่างกันเท่านั้น และขึ้นอยู่กับผลงานเท่านั้นเป็นเครื่องวัดความดีของคน ไม่มีวิธีใดที่จะเห็นชัดเจนกว่าผลงานของคน
7. สร้างสังคมรับฟังความหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อควรคิดออกนอกกรอบ รับฟังความแตกต่างของผู้คน แต่ไม่อิงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะทำให้สังคมไทยสงบมากขึ้น
8. พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความสงบสันติ จิตที่ไม่สงบคือจิตที่มีกิเลส ควรปลีกวิเวกบ้าง โดยเฉพาะระดับผู้นำ ควรนำมาพิจารณาทบทวนทำใจให้เป็นกลาง และไม่ลุ่มหลงติดยึด เมื่อจิตใจเป็นกลางแล้วจะพบความจริง ทำให้การตัดสินใจถูกต้องมากยิ่งขึ้น และเป็นผลดีต่อบ้านเมือง ไม่อ่อนไหวไปกับคนที่อาจยุแหย่, ยั่วยุ หรือสร้างอารมณ์ก็จะทำให้มีสมาธิในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองได้
1. ลดการทำลายคู่แข่งทางการเมือง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ปัดแข้งปัดขาทางการเมือง ให้โอกาสผู้มาเป็นรัฐาล
2. สื่อทีวี และสื่อทั้งหลายไม่ควรส่งเสริมสิ่งที่สร้างปัญหาประเทศ เช่นการออกข่าวเกี่ยวกับการโจมตีทางการเมืองของคนเพียงไม่กี่คน เว้นแต่เป็นการเรียกร้องโดยกลุ่มบุคคล แต่สื่อไม่ควรออกข่าวในเชิงยั่วยุ, หรือทำให้คู่แข่งทางการเมืองทะเลาะเบาะแว้งกัน และผู้ที่ทำหน้าที่สื่อไม่ควรส่งเสริมคำพูดที่ยั่วยุการรัฐประหาร ซึ่งเท่ากับสื่อกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ำทำลายระบบประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ควรแพร่ภาพที่ไม่สร้างสรรค์ สื่อควรวางตนเป็นกลางไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนื่ง
3. ไม่ส่งเสริมวาทะกรรมโต้ตอบซึ่งกันและกัน ปล่อยให้คนที่พูดไม่ดีพูดอยู่คนเดียวโดยเฉพาะระดับผู้นำ โดยไม่ต้องไปสนใจวาทะกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเราหยุดคนอื่นก็จะหยุดโต้ตอบวาทะกรรมที่นำไปสู่ความ
ความไม่สงบของบ้านเมือง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชน และประเทศชาติทำให้ประเทศขาดทุนในหลาย ๆอย่างทำให้ต่างประเทศไทยไม่มั่นคง, ไม่ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน คล้าย ๆ กับว่าหากเราไปเช่าร้านค้าขายของที่เจ้าของบ้านสามีำภรรยาทะเลาะกันเรื่อย ๆ ทำให้คนเช่าเบื่อหน่ายก็จะหนึออกไปหาเช่าร้านที่อื่น ๆ รวมทั้งลูกค้าก็ไม่อยากซื้อสินค้าด้วย
4. ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย หรือไม่มีจิตสำนึกหรือจิตวิญญาณประชาธิปไตย เพราะอาจติดเชื้อแนวคิดเผด็จการไปโดยไม่รู้ตัว
5. ส่งเสริมให้คนในสังคมมีความรักเอื้ออาทรต่อผู้อื่นโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ พูดแต่คำที่เป็นบวก เพราะมาจากความคิดเชิงบวก (positive thinking) คำพูดที่เป็นลบไม่ควรฟัง แต่ก็ส่งเสริมการวิพากย์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะเป็นเสรีภาพทางประชาธิปไตย
6. ลืมอดีตในสิ่งที่เลวร้าย ลบภาพเก่า ๆ และหันหน้าเข้าหากัน เปิดใจให้กว้าง ลดการเกลียดกันโกรธกัน ใช้ความดีชนะสิ่งที่ไม่ดี ให้อภัยซึ่งกันและกันไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน ถือว่าทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่เห็นประโยชน์ของชาติบ้านเมือง เพียงแต่ความคิดต่างกันเท่านั้น และขึ้นอยู่กับผลงานเท่านั้นเป็นเครื่องวัดความดีของคน ไม่มีวิธีใดที่จะเห็นชัดเจนกว่าผลงานของคน
7. สร้างสังคมรับฟังความหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อควรคิดออกนอกกรอบ รับฟังความแตกต่างของผู้คน แต่ไม่อิงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะทำให้สังคมไทยสงบมากขึ้น
8. พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความสงบสันติ จิตที่ไม่สงบคือจิตที่มีกิเลส ควรปลีกวิเวกบ้าง โดยเฉพาะระดับผู้นำ ควรนำมาพิจารณาทบทวนทำใจให้เป็นกลาง และไม่ลุ่มหลงติดยึด เมื่อจิตใจเป็นกลางแล้วจะพบความจริง ทำให้การตัดสินใจถูกต้องมากยิ่งขึ้น และเป็นผลดีต่อบ้านเมือง ไม่อ่อนไหวไปกับคนที่อาจยุแหย่, ยั่วยุ หรือสร้างอารมณ์ก็จะทำให้มีสมาธิในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น