ประชาธิปไตยอัจฉริยะ (1)


       เนื่องจากการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ก่อการคณะราษฎร์ได้ทำการยึดการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475   ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7     โดยพระองค์ทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลว่าพระองค์ปรารถนาจะให้ประชาธิปไตยกับปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว   แต่ทว่าทรงเล็งเห็นว่าประชาชนไทยยังไม่พร้อมต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย       เมื่อกลุ่มคณะราษฎร์ซึ่งมีกลุ่มจากข้าราชการทหาร, ตำรวจ, และพลเรือนซึ่งได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอนารยะประเทศต่างปรารถนาที่จะเจริญรอยตาม         แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังขาดการเรียนรู้แบบประชาธิปไตย หรือการมีจิตสำนึกแบบประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม      พระองค์จึงทรงมีพระสุนทรพจน์ตอนหนึ่งที่ว่า  ข้าพเจ้ามีความยินดีและเต็มใจที่จะมอบอำนาจของข้าพเจ้าที่มีอยู่แต่เดิมให้กับปวงชนชาวไทย    แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยินยอมสละอำนาจให้แก่กลุ่มบุคคลคณะหนึ่งคณะใดเป็นผู้ใช้อำนาจ  โดยไม่ยอมรับฟังเสียงราษฎร   
                     จากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎร์ที่ปฏิวัติจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์มาจนถึงจวบจนปัจจุบัน  ใช้เวลามาเป็นเวลากว่า 74 ปีมาแล้ว   จะพบว่าการปกครองประชาธิปไตยของไทยยังมีปัญหา และยังไม่สามารถเดินตามวิถีทางประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืน     จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการปฏิวัติรัฐประหารกันอยู่เสมอมา       ฐานประชาธิปไตยยังเป็นที่คลอนแคลนและก่อให้เกิดเงื่อนไขการปฏิวัติรัฐประหาร        ทั้งนี้เป็นสิ่งที่คนไทยควรคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด  ประชาธิปไตยของไทยจึงไม่รุดก้าวไปข้างหน้าเสียที ?    ทำไมจึงมีลักษณะเดินหน้าถอยหลังไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนา หรือประเทศอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยไปกันมากแล้ว ?       ปัญหาของประชาธิปไตยเกิดจากตัวบุคคล หรือเกิดจากระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา, หรือจากวัฒนธรรมค่านิยมที่ปลูกฝังกันผิด ๆ     ทำให้วิถีทางประชาธิปไตยจึงมีลักษณะล้มลุกคลุกคลาน     ซึ่งก่อนที่จะเข้าถึงปัญหาหรือการแสวงหาแนวทางของประชาธิปไตยแบบทางเลือกที่ผู้เขียนเสนอต่อสังคม   เพื่อให้สังคมมีการรับรู้และสร้างกติกาประชาธิปไตยอย่างมีจิตสำนึก       และมิใช่เข้าใจประชาธิปไตยแต่เพียงแค่เปลือกกระพี้เท่านั้น       ประชาชนคนไทยควรเข้าถึงแก่นแท้ของประชาธิปไตย เพราะว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงรูปแบบที่มีรัฐสภา, สส., สว, หรือเป็นเพียงมีรัฐธรรมนูญ  แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น   นั่นก็คือจิตสำนึกหรือจิตวิญญาณประชาธิปไตย    ซึ่งจะพบว่ารัฐบาลไม่ค่อยส่งเสริมหรือปลูกฝังกันในเรื่องนี้      เราจะพบว่าไม่มีการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยในห้องเรียน,  ไม่มีหลักสูตรที่สอนกันอย่างจริงจังอย่างเป็นระบบในการสอนถ่ายทอดจากเด็กสู่ผู้ใหญ่           ทั้งนี้เพราะว่าวิถีทางประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และเป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของตะวันตกซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าทางความคิดหรือลอกเลียนแบบมาจากตะวันตก โดยเข้าใจว่าประชาธิปไตยได้แก่การมีรัฐสภา, การมีสภาผู้เทนราษฎร, การมีการเลือกตั้ง, การลงคะแนนเสียง, การมีพรรคการเมือง ฯลฯ      ซึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นประชาธิปไตยแค่รูปแบบเท่านั้น     แต่ควรเป็นประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหาด้วย เช่นการมีอุดมการณ์และจิตสำนึกประชาธิปไตย, การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบพลเมือง (Citizenship) ,   การรู้จักรักษาสิทธิและหน้าที่,  การรู้จักความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ,     การวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองโดยมิเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน,      การเคารพสิทธิและกติกาของบ้านเมือง,    การรักษามติของเสียงส่วนใหญ่ และพิทักษ์เสียงส่วนน้อย (Majority Rule, Minority Right)  ,  การพัฒนาสถาบันการเมือง และวิถีชุมชนแบบประชาธิปไตย         การที่เสาประชาธิปไตยถูกรื้อถอน และถูกสั่นคลอนนั้นเกิดจากการไม่เข้าใจ หรือรู้ลึกซึ้งพอในการดำรงวิถีทางประชาธิปไตยได้          ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ประชาธิปไตยจะยืนยงอยู่ได้คือประชาชนต้องมีทัศนะว่าประชาธิปไตยเปรียบเสมือนเสาหลัก     หากโค่นลงมาบ้านก็จะทรุด หรือเอียงกระเทเร่ได้        จะต้องพยายามขวนขวายให้เสาหลักมีความมั่นคง และช่วยกันประคับประคองไม่ว่ากลุ่มบุคคลใด, อาชีพใด,  ต้องมีลักษณะหวงแหนมิให้ใครย่ำยีได้ เป็นความมั่นคงทางด้านสังคมประชาธิปไตย  มิใช่ประชาธิปไตยแบบต้นกล้วยที่เลี้ยงไว้ไม่กี่ปีก็ต้องถูกโค่นและกินดอกผลจากผู้สร้างมาก่อน        แต่เราจะพบว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจน้อยมาก   และไม่สามารถเข้าใจในการรู้รักษาประชาธิปไตยที่คนไทยหวงแหนได้         จึงอาจเป็นกับดักที่ทำให้บุคคลบางกลุ่ม หรือบางคณะได้ใช้วิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแต่เป็นการแอบอ้างได้        หากคนเป็นผู้นำที่ไม่สนใจ หรือไม่เข้าใจวิถีทางการปกครองแบบประชาธิปไตยมาใช้อย่างเต็มที่      ซึ่งรูปแบบประชาธิปไตยมีที่มาจากการยึดอำนาจการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงปัจจุบันนี้  จะแบ่งเป็นยุค ๆ ได้ดังนี้
                   1.ยุคคณะราษฎร์เรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตย  ซึ่งประกอบด้วยคณะทหาร, ตำรวจ, พลเรือนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475-2499
                   2.ยุคก่อการรัฐประหาร ที่เรียกกันว่าการก่อการปฏิวัติ  ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 – 2516 เป็นต้นมา
                   3. ผลัดเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลฝ่ายพลเรือน  ตั้งแต่รัฐบาลสัญญาธรรมศักดิ์, รัฐบาลธานินนทร์  กรัยวิเชียร, รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์, รัฐบาลชวน หลีกภัย, รัฐบาลพณ. ท่านชาติชาย ชุณหวัณ
                   4. ยุครัฐประหารโต้กระแสฝ่ายรัฐบาลพลเรือน   ได้แก่ยุคพลเอกสุจินดา  คราประยูร หรือยุคพฤษภาทมิฬ 
                   5.ยุครัฐบาลพลเรือนที่เป็นรัฐบาลแบบนักธุรกิจในลักษณะที่เป็นประชานิยม  (Populism) เน้นการทำงานที่รวดเร็วและเข้ากับโลกาภิวัฒน์   ได้แก่รัฐบาลยุคพณ.ท่านดร.ทักษิณ  ชินวัตร
                      6.ยุครัฐประหารแบบเยือกเย็น   (Silky Revolution)  เป็นยุคที่บทบาททหารได้ใช้ประสบการณ์จากการปฏิวัติที่ทำให้ภาพพจน์เสียหาย    กลับมาสร้างสรรค์ประชาธิปไตย  ด้วยวิธีการล้มอำนาจรัฐบาลพลเรือน   และพยายามเอาใจมวลชนที่สนับสนุน  เนื่องจากการที่ฝ่ายปฏิวัติอ้างว่ามีการคอรัปชั่นแบบเครือข่าย   และทำให้คนบางกลุ่มที่ใหญ่พอสมควรไม่พอใจ

รากฐานแนวคิดประชาธิปไตยที่แท้จริง
                     ประชาธิปไตยถ้ามองเพียงผิวเผินคือ การมีการเลือกตั้ง, การมีรัฐสภา, การมีรัฐธรรมนูญ, การใช้สิทธิใช้เสียง   ซึ่งยังเป็นประชาธิปไตยเพียงรูปแบบเท่านั้น    แต่พฤติกรรมและจิตสำนึกประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องเนื้อหาสำคัญ    แต่จริง ๆ แล้วเราอาจไม่รู้จักความหมาย, คุณค่า, ความลึกซึ้งของประชาธิปไตยซึ่งเป็นแก่นแท้           ดังนั้นเราจะพบว่าการที่คนไทยจะเข้าถึงแก่นแท้ประชาธิปไตยนั้น    สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือการทำให้ประชาชนมีระบบเศรษฐกิจที่ดีเสียก่อนในลักษณะของการกระจายรายได้แก่คนในสังคมในทุกระดับ       หากคนส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในสภาพล้าหลังและยากจน   ก็ยากที่จะจรรโลงประชาธิปไตย     และกลายเป็นการครอบงำทางความคิดไปสู่ระบบเก่า ๆ หรือพฤติกรรมแบบเก่าที่ไม่ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้     ดังนั้นจึงขอทำความเข้าใจในหลักการและวิถีทางประชาธิปไตยเสียก่อน
                    การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย  เป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจโดยผ่านระบบตัวแทนเพื่อเข้าไปกำหนดนโยบายรัฐบาล และกำหนดทิศทางการทำงานเพื่อใช้อำนาจรัฐนั้นสร้างความผาสุกให้แก่ปวงชนชาวไทย     เพราะประชาชนไม่สามารถเข้าไปทำหน้าที่โดยตรงได้   จึงต้องมีระบบตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่      ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศมีการถ่วงดุลกัน 3 อำนาจด้วยกัน  ได้แก่ ก. อำนาจนิติบัญญัติ คืออำนาจในการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมประชาชน   ข. อำนาจบริหารหมายถึงอำนาจในการนำกฎหมายไปใช้บังคับ,  และการนำเจตนารมณ์ที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker)  ตรากฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม    ค. และอำนาจตุลาการ  คืออำนาจในการตัดสินคดีความที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม, ไม่เลือกปฏิบัติ, ไม่ใช้อิทธิพลแทรกแซงไม่ว่ากรณีใด ๆ      อำนาจทั้งสามประการนี้ต้องคอยตรวจสอบ, ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน      หากอำนาจทั้ง 3 เหล่านี้ถูกแทรกแซงครอบงำก็จะทำให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดมีมากเกินไป    และในปัจจุบันแนวโน้มอาจใช้อำนาจของประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้, ติดตามผลจากอำนาจของภาคประชาชน      ซึ่งการตรวจสอบอำนาจภาคประชาชนควรเป็นอำนาจที่บริสุทธิ์ไม่เจือด้วยผลประโยชน์จากคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นพิเศษ   แต่ในทางปฏิบัติในสังคมไทยยังมีบุคคลบางกลุ่มที่มักแอบอ้างประชาธิปไตยโดยพิจารณาจากแนวคิดของตนเอง   ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถูกบิดเบือนไปตามกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group)  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ