พลังซ่อนเร้น 6 ประการในการนำคุณสู่ความสำเร็จ (ตอนที่ 1)
เรียบเีรียงจากบทความของ สจ๊วต โกลด์สมิทธ์
พลังซ่อนเร้นก้าวต่อไปเป็นการกำหนดโครงสร้างความคิดที่ทำให้คุณมั่นใจว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนคุณไปสู่ความสำเร็จ
พลังอำนาจประการแรก คือจงรับผิดชอบในตัวคุณ การแคร์คนอื่นที่คิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะจัดการกับชีวิตของคุณเองแทนคุณ “อะไรที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวฉัน” การตกเป็นทาสความคิดมักปรากฏอย่างลึกซึ้ง คนเราส่วนใหญ่ชอบนำเอาความคิดของคนอื่นมาคิดแทน แต่หากเราไม่นำมาเป็นเรื่องกังวลใจ ในไม่ช้าเราจะพบว่าตัวของเราเองสามารถริเริ่มงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน หรือการมีชีวิตอยู๋ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุข หรือนำไปสู่วงจรแห่งความยากจน ซึ่งเป็นคำที่มักคุ้นกับคำว่า”จงพยายามทำให้คนอื่นประทับใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจากการทำให้เป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่ยอมรับ เรามามองทิศทางอนาคตอย่างด้วยใจเป็นกลางจากเด็กตัวน้อย 3 คน ได้แก่เฟรด,โจ, และแมทธิว ทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนที่สนิทกัน พวกเขาได้นั่งปรึกษาร่วมกัน ในช่วงพักเบรก เฟรดเข้ามาเรียนในโรงเรียน โดยถือบัตรที่มีรางวัลสมนาหลายใบที่แสดงกับเพื่อนของเขา โจมีความอิจฉาเพื่อนของเขากับการสะสมบัตรรางวัล และเขาก็ทะเลาะกันในช่วงเบรกเพราะเฟรดปฏิเสธที่จะให้บัตรรางวัลแก่โจ มีแนวโน้มหลายประการ กับสิ่งที่น่าวิตกอย่างมากสำหรับอนาคตของเฟรด ครูได้ออกมาห้ามปรามการทะเลาะเบาะแว้ง และทำให้เฟรดรู้สึกผิดในการไม่ได้ให้บัตรรางวัลกับโจ และโจได้ปฏิเสธที่จะพูดกับเฟรดหากเฟรดไม่ยินยอมให้บัตรรางวัลซึ่งในที่สุดทำให้ไม่มีความเป็นเพื่อนต่อกัน แมทธิวเป็นเพื่อนทั้งสองฝ่ายทั้งโจหรือเฟรด หรือเป็นผู้ทำให้เกิดความสงบและผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยปัญหาและแก้ไขกันเอง อันตรายอย่างใหญ่หลวงที่มีต่อเฟรด หากการแก้ปัญหานี้เฟรดไม่ยินยอมให้บัตรรางวัล หรือมีเหตุผลเดียวก็คือต้องให้เพียงเพราะว่าเขาต้องการเป็นที่รักใคร่และเป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญอย่างแท้จริง เพื่อนของเฟรดจะคิดอย่างไรกับเขา? โจก็คงเข้าใจทัศนะของเฟรดและแมทธิวคงไม่กล้าวิจารณ์ เฟรดอาจมีความตั้งใจให้การสะสมบัตรรางวัลที่มีราคาน้อยกับโจ เป็นเวลาหลายพันปีแล้วของเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อยๆที่ปรากฏขึ้นมา จนกระทั่งทุกวันนี้เราเป็นผู้ใหญ่ คนเราส่วนใหญ่มักมีนิสัยในการนำเอาความคิดของผู้อื่นคิดเกี่ยวกับตัวเรา ก่อนที่จะเป็นความต้องการและแรงปรารถนาของเราเอง
อะไรคือเหตุผลที่ถูกต้อง ?
ก่อนที่คุณจะตัดหญ้า,ตกแต่งบ้าน,เริ่มธุรกิจ, ไปพักผ่อน จงถามตัวท่านเองว่า “ฉันกำลังทำสิ่งที่มีเหตุผลถูกต้องหรือไม่” ใช่การจัดสวนต้องทำให้เสร็จ, แต่หากคุณไม่ได้ทำวิจัยตลาดที่เป็นงานสำคัญซึ่งยังค้างคาอยุ่ และหากคุณไม่ตัดหญ้าวันนี้คุณก็จะกังวลว่าเพื่อนบ้านจะมองว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ใช่บ้านจำเป็นต้องตกแต่งซ่อมแซม แต่หากไม่ทำให้คุณเสียสุขภาพจิตในการทำให้คุณเครียดกับตัวเองโดยการพยายามที่จะให้เกิดความสมดุลระหว่างการรณรงค์โฆษณาที่ยุ่งเหยิง และหุ้นส่วนของคุณก็ยืนกรานให้ทำเดี๋ยวนี้ การตกภายใต้ความคิดของผู้อื่นกลับทำลายความคิดสร้างสรรค์ พลังงานของคุณและแรงขับที่นำคุณไปสู่เป้าหมาย และเติมเต็มความฝันมันจะหยุดชงักจากการดำเนินงานที่คุณต้องการเช่นไปเยี่ยมเยียน และสนุกสนานกับภาพยนตร์ที่คุณชอบ ดังนั้นจงแน่ใจว่าคุณมักไม่ได้ขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่าง ๆเพียงเพราะว่าคุณกังวลกับสิ่งทีคนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ จงมั่นใจว่าคุณทำในสิ่งที่ต้องการจะให้เป็น
พลังซ่อนเร้นประการที่ 2 คือการดิ้นร้นในการทำสิ่งที่แตกต่าง
เกือบทุกคนรู้ว่าการดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเป็นเรื่องปรกติ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ แต่บุคคลโดยทั่วไปดำเนินชีวิตที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และสำเร็จตามความเป็นจริง ด้วยการใช้ลักษณะงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องของนอร์แมน ในที่นี้คือตัวอย่างของความคาดหวังเกี่ยวกับชีวิตและผลสำเร็จแบบธรรมดา “ฉันเป็นที่โปรดปรานของเพื่อนบ้านโดยทั่วไป (ซึ่งแปลความหมายว่า : ทุก ๆบ้านและสวนตามท้องถนนดูแล้วคล้ายกันเมื่อเทียบกับโรงงานแล้วมีความแตกต่าง ผู้เขียนเป็นเจ้าของรถยนต์ (ซึ่งมีกล่องหุ้มล้อที่มีมาตรฐานพิเศษ ซึ่งแตกต่างเล็กน้อยที่ดูเหมือนกับรถคันอื่น ๆ มี
เป้าหมาย และความทะเยอทะยานของนอร์แมนก็คือ “ฉันใช้เงินประหยัดมากขึ้นในการพาภรรยาและลูก ๆ ของผมในวันหยุดพักผ่อน, บางสถานที่ดูดีและปลอดภัย พวกเราไม่ได้จองตั๋วแบบเหมารวมในวันหยุด, ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีการใส่ใจและรู้ว่าสิ่งที่เราคาดหวังได้ แม้แต่การจองตั๋วดูหนังทั้งหลายก็อยู่ในแผนของพวกเรา
งานของฉันน่าเบื่อหน่าย, แต่การจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญและเงินสะสมดี แต่มันไม่ทำให้ฉันรวย และแล้วฉันจึงไม่ต้องการความร่ำรวย (แต่เขาไม่เคยถูกล๊อตเตอรี่เลย) บุคคลใดก็ตามที่ร่ำรวยเป็นแต่มักพูดโกหก ว่าไม่ต้องการที่จะรวยมากขึ้นไปอีก ดิฉันชอบหลับในตอนกลางคืนเมื่อมีจิตใจมีความปลอดโปร่ง
ฉันไม่มีอะไรทำได้มากมายกับเพื่อนบ้าน, ฉันไม่ชอบพวกเขาจริง ๆ แต่ฉันอยู่อย่างสงบ ๆ และฉันจะตัดหญ้าอาทิตย์ละครั้ง และทำให้สวนในบ้านสวยงามและเป็นระเบียบ และทำงานควบคู่ไปด้วย ฉันชอบคิดว่าพวกเขามองฉันว่าเป็นคนดี
ในเวลาสุดสัปดาห์ พวกเราได้เยี่ยมเยียนเพื่อนที่สุดของเรา คือ อลิส และพอลและพวกเขาก็กลับมาเยี่ยมเยียนในวันสุดสัปดาห์เช่นกัน พวกเขาเป็นครอบครัวแบบคนทั่วไป เกือบทุกคืนหลังเลิกงานฉันอาบน้ำฝักบัว, เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และหลังจากทานอาหารเย็น ฉันก็เดินไปดูโทรทัศน์จนกระทั่วหลับบนเตียง ทุกวันอาทิตย์จะมีอาหารเย็นในการปิ้งเนื้อ และทุกวันศุกร์พวกเราจะทำกับข้าว ดูฉันมีความสุขใช่ใหม?
นั่นคือสิ่งที่นอร์แมนคิดและดำรงชีวิตของเขา และคนส่วนมากมีชีวิตแบบนี้ นอร์แมนใช้ชีวิตวันแล้ววันเล่า,และบ่นเกี่ยวกับสิ่งที่เขาไม่ชอบในงานของเขา เขาถูกป้อนงานจากเจ้านายและหุ้นส่วนของเขา แต่งานทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่ทำเป็นเรื่องจำเจซ้ำซากทุกวัน เพราะพวกเขาเป็นทาสกับสิ่งที่เป็นปรกติ (และสิ่งที่ทำขึ้นอยู่กับคนอื่นคิดถึงฉันอย่างไร หากฉันทำในบางอย่างที่ไม่ปรกติล่ะ?
จงมีชีวิตที่อยู่ในถนนแห่งความรวดเร็วในการสู่เป็นคนชั้นแนวหน้า
มาเปรียบเทียบกับเป้าหมาย และแรงทะเยอทะยานของนอร์แมนกับลักษณะนักคิดประดิษฐ์อย่างเดวิด เขาเป็นคนส่วนน้อยของบุคคลที่ก้าวไปข้างหน้า และดำรงชีวิตในฐานะชนชั้นนำ และมีอภิสิทธิ์
ปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตของฉันเป็นเรื่องง่าย ก็คือ “ชีวิตเป็นสิ่งที่สั้นเกินกว่าจะเอาธุระกับเรื่องเล็กน้อย ฉันไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวฉันเอง หากเพื่อนบ้านทั้งหมดของฉันต้องการลดความเสี่ยงและทำกำแพงอิฐบล็อคในเวลาสั้น ๆ และทำถนนที่เป็นทางเลือกของพวกเขา แต่ฉันไม่ได้ทำเพื่อทำให้เขาโปรดปรานฉัน แต่ฉันชอบปลูกต้นไม้เพื่อให้เพื่อนบ้านได้มีที่ร่มพักพิง และชอบที่จะทำแผ่นไม้มุงหลังคา ฉันเลือกที่จะทำในสิ่งที่เหมาะกับบ้านของเราเอง
บ่อยครั้งที่ผมโทรศัพท์จากสำนักงานมาหาซาร่าห์ และขอร้องให้หล่อนไม่ต้องทำกับข้าวสำหรับคืนนี้และมื้อนี้เราจึงได้พยายามหาภัตตาคารภายในรัฐมี 20 กิโลเมตร
พวกเราชอบวันหยุดพักผ่อน และพาครอบครัวไปบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้ เราใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์,ในการสำรวจหาสถานที่ใหม่ และพยายามทำกิจกรรมที่แตกต่างออกไป ฉันชอบงานที่ฉันทำเป็นงานที่ท้าทายในตำแหน่งผู้จัดการ ฉันได้พบปะกับบุคคลที่ฉันทำงานที่มีบุคลิกภาพต่างกันมากมาย มีพื้นฐานที่ต่างกัน ทุกวันคนที่อยู่ระดับต่ำกว่ามุ่งมาที่งานของฉัน ฉันไม่พบการข่มขู่ ฉันชอบงานที่ท้าทาย ฉันสนุกกับการทำงานกับคนเฉลียวฉลาดที่ทำให้ฉันเกิดศักยภาพในการทำงาน
ฉันทำงานหนักและฉันได้รับค่าตอบแทนอย่างดี ฉันรู้สึกผิดพลาดใหม? เปล่าเลย ฉันคาดหวังที่จะได้รับค่าตอบแทนอย่างดีสำหรับความพยายามของฉัน ฉันคงไม่ต้องมีอะไรนอกเหนือจากนี้ เราได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ในพื้นที่พิเศษ และนั่นคือรางวัลของฉันในการทำงานมาอย่างยาวนาน ฉั้นไม่กลับบ้านทันทีทันใดในวันสุดสัปดาห์ และบางครั้งฉันก็มาถึงสำนักงานในตอนเช้า เช่น 6 โมงเช้า เพื่อเตรียมประชุมกับทีมงานของฉัน
ฉันต้องการความร่ำรวย และฉันเตรียมการวางแผน และทำงานเพื่อเป้าหมายของฉัน ฉันแสวงหาอนาคต ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ล้อมรอบตัวฉัน และฉันไม่แคร์ เพราะว่าตราบใดที่ฉันจะจัดการกับสถานที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าฉันสามารถแก้ปัญหาได้ ความเข็มแข็งอยู่ภายในตัวฉัน ไม่จำเป็นต้องมาจากแรงผลักดันของคนภายนอก ฉันไม่แคร่แม้แต่ว่าคนอื่น ๆจะยอมรับตัวฉันหรือไม่ก็ตาม ฉันรู้ว่าฉันยอมรับมันได้ในทุกกรณ๊
ปรัชญาที่เป็นปรปักษ์ 2 ประการ
การผูกติดภายใต้การครอบงำของนอร์แมนในการทำสิ่งที่เป็นปรกติ (และเป็นทาสรับใช้คนอื่นที่เขาคิด) ทำให้ยากจน และไม่มีความสุข ในขณะที่การดิ้นรนต่อสู้เปทำสิ่งที่แตกต่างเพื่อความมั่งคั่ง และความสุขเป็นสิ่งแตกต่าง (และปฏิเสธที่จะเป็นทาสรับใช้ในความคาดหวัง และเพื่อความสุขของคนอื่น) หากคุณพยายามมองทัศนะที่ไม่ดีของเดวิดซึ่งมองว่าเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวแล้วคุณจงถามตัวคุณเองว่า “คุณอยากเป็นเพื่อนกับใคร? ระหว่างนอร์แมนที่มีความเบื่อหนายชีวิตและไม่มีความสุขหรือเดวิดที่มีทั้งความสุขและความตื่นเต้น
สรุป ความไม่เป็นตัวของตัวเองทำให้ชีวิตขาดความสุข และความสำเร็จ และบางครั้งก็เท่ากับทำความสำเร็จให้กับคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความคิดของเราเอง ทำให้เราอาจขาดความภาคภูมิใจในผลงานที่ทำลงไป บุคคลที่้ต้องการความสำเร็จจะต้องสร้างหนทางชีวิตของตนเอง (The new road for the new life) จึงจะทำให้กลายเป็นบุคคลที่มั่งคั่ง และยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร เว้นเสียแต่ประเทศต้องมีลักษณะการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในการให้โอกาสสูงสุดในชีวิต เป็นสังคมที่ไม่สกัดกั้นหรือกีดกันความสำเร็จของผู้อื่นโดยที่ตนเองทำไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น