การประยุกต์กรอบคิดพัฒนาการเมือง (Political Development) กับการเมืองไทย
คำว่าการพัฒนาการเมือง คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโดยมีเป้าหมายที่แน่นอน จุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ,สังคม, และการปกครองเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน พาย (Lucian W. Pye 1966, 33-45) เป็นนักรัฐศาสตร์อเมริกัน สำหรับแนวความคิดทางการเมืองที่กล่าวถึงกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาคือ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า การทำให้ทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) บางท่านก็ใช้ปนกันทั้งสองคำ มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฎการณ์ทาง การเมืองนั้น เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ มากมาย เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธ์หรือกลุ่มการเมือง ต่าง ๆ การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร ปรากฎการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่าง ๆ ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ นักเศรษฐศาสตร์ ก็มองการไร้เสถียรภาพต่าง ๆ ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สังคมประสบปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้ ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่า เกิดจากปัญหาหลักคือ ปัญหาเศรษฐกิจ และนักการศึกษาการเมืองก็มองดูการล้มเหลวของ การปกครองแบบประชาธิปไตยว่า มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการ เมืองการปกครองแบบอารยะได้ นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า เกิดจากโครงสร้างทางสังคม ช่องว่างระหว่างความรวยความจน โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ ฯลฯ
นักรัฐศาสตร์นั้นถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่ามีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่ สะดวกใจ เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การใช้หลักการถ่วงดุลย์อำนาจ การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่าง ๆ แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฎการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบ ประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมายซึ่งการพัฒนาการเมืองมีดังนี้
1. การพัฒนาการเมือง คือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Political Development as the Political Prerequisit of Economic Development) เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ
7. การพัฒนาการเมืองคือ การสร้างประชาธิปไตย (Political Development as the Building of Democracy) ความคิดอันนี้ คือการพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติ ประชาธิปไตย แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตย การมองการพัฒนาการเมืองว่าคือ ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์ ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะ วิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัยนอก จากนี้เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ คนอเมริกันยังมีเหตุผล (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด) ที่จะเชื่อว่า จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ “พัฒนา” มากกว่าเรื่อง “ประชาธิปไตย” ข้อถกเถียงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน หรือตะวันตกมายัดใส่
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยในปัจจุบันมีความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลระหว่างฝ่ายชนชั้นสูงกับคนชั้นล่าง ทำให้ความเข้าใจประชาธิปไตยต่างชนชั้นจึงมีวาทะกรรมต่างกัน หรือเิิกิดจากค่านิยมต่างกัน หรือความเชื่อศรัทธาต่างกัน การขจัดค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตยที่จำกัดในวงแคบ ไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยในวงกว้าง หมายถึงการยกระดับประชาธิปไตยแบบรากหญ้าที่ได้รับการยอมรับของสังคม
8. การพัฒนาการเมืองคือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ (Political Development as Stability and Orderly Change) คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและ สังคม ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา อย่างไรก็ดี เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและ สังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้ ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง เพราะว่า สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลง สังคมอย่างมีเหตุผล ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ “พลัง” สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า ในสังคมใหม่นั้น บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลง สังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม และแน่ละจุดเริ่มต้นของการควบคุมพลังทางสังคม คือ การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้ ก็คือ ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึง ประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้น กลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ ประการสุดท้าย ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญ
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยมีลักษณะสับสน และการเปลี่ยนแปลงมีลักษณะไร้ระเบียบ อันเกิดจากการรัฐประหารทำให้ตัวบทกฎหมายไม่ใช่ฉันทามติของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นเพียงกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างความชอบธรรมเท่านั้น
ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาการเมืองเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ,สังคม, และการปกครองเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน พาย (Lucian W. Pye 1966, 33-45) เป็นนักรัฐศาสตร์อเมริกัน สำหรับแนวความคิดทางการเมืองที่กล่าวถึงกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาคือ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า การทำให้ทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) บางท่านก็ใช้ปนกันทั้งสองคำ มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฎการณ์ทาง การเมืองนั้น เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ มากมาย เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธ์หรือกลุ่มการเมือง ต่าง ๆ การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร ปรากฎการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่าง ๆ ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ นักเศรษฐศาสตร์ ก็มองการไร้เสถียรภาพต่าง ๆ ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สังคมประสบปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้ ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่า เกิดจากปัญหาหลักคือ ปัญหาเศรษฐกิจ และนักการศึกษาการเมืองก็มองดูการล้มเหลวของ การปกครองแบบประชาธิปไตยว่า มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการ เมืองการปกครองแบบอารยะได้ นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า เกิดจากโครงสร้างทางสังคม ช่องว่างระหว่างความรวยความจน โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ ฯลฯ
นักรัฐศาสตร์นั้นถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่ามีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่ สะดวกใจ เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การใช้หลักการถ่วงดุลย์อำนาจ การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่าง ๆ แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฎการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบ ประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมายซึ่งการพัฒนาการเมืองมีดังนี้
1. การพัฒนาการเมือง คือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Political Development as the Political Prerequisit of Economic Development) เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย พบว่าการเมืองไทยมีลักษณะเดินหน้าถอยหลัง การเมืองไทยยังเป็นลักษณะเชิดชูตัวบุคคลมากกว่าหลักการประชาธิปไตย ทำให้ประชาธิปไตยสะดุดหกล้ม และทำลายระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
และการเมืองไทยเน้นกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้กับเศรษฐกิจของชนชั้นสูง
2. การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม (Political Development as the Politics Typical of Industrial Societies) คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็น นามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและ อุตสาหกรรมดังนั้นคุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็น พฤติกรรมของรัฐบาลที่ “มีเหตุผลและรับผิดชอบ” กล่าวคือ มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล ที่สำคัญในสังคม มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย คือ การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง
2. การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม (Political Development as the Politics Typical of Industrial Societies) คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็น นามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและ อุตสาหกรรมดังนั้นคุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็น พฤติกรรมของรัฐบาลที่ “มีเหตุผลและรับผิดชอบ” กล่าวคือ มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล ที่สำคัญในสังคม มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย คือ การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย พบว่าการพัฒนาการเมืองของไทยยังไม่ได้เข้าสู่การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม แต่ยังมีการพัฒนาการเมืองในสังคมเกษตรกรรม คือรากหญ้ามีการตื่นตัวทางการเมือง สำหรับรัฐบาลที่เป็นแนวคิดเชิงอนุรักษ์นิยมกับมีลักษณะแสดงออกถึงการคุกคามผลประโยชน์ของประชาชน และรวมถึงยังไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในภาคเกษตรกรรม
3. การพัฒนาการเมืองคือ ความจำเริญทางการเมือง (Political Development as Po-litical Modernization) ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรฐกิจและสังคม และคนจำนวนมากคาดหวังว่า ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
3. การพัฒนาการเมืองคือ ความจำเริญทางการเมือง (Political Development as Po-litical Modernization) ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรฐกิจและสังคม และคนจำนวนมากคาดหวังว่า ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย พบว่าการพัฒนาการเมืองของไทยยังไม่ก่อให้เกิดความจำเริญทางการเมือง เนื่องจากสังคมไทยเข้าสุ่โลกแห่งความสับสน (chaos society) ลักษณะประชาธิปไตยยังเป็นประชาธิปไตยแบบต่างระดับชนชั้น หรือยังมีอิทธิพลการปกครองแบบดั้งเดิมทำให้ค่านิยม หรือการยอมรับแบบประเพณีการปกครองนั้นก่อให้เกิดความคิดค่านิยม และหนทางสู่เป้าหมายในชีวิตที่ต่างกัน ขาดการประนีประนอม หรือการปรับตัวเข้าหากัน และการยอมรับศรัทธาความเป็นธรรมทางสังคม ทำให้ความเจริญทางการเมืองมีลักษณะสะดุดหกล้มจากการมีรัฐประหารบ่อยครั้ง
4. การพัฒนาการเมือง คือ ระบบการเกิดรัฐชาติ (Political Development as the Operation of a Nation State) การพัฒนาการเมืองนั้นเกิดจากการดำเนินการเป็นรัฐชาติ หน้าที่ทางการเมืองที่คล้องจองกับมาตรฐานของรัฐบาลในยุคใหม่ ในความเห็นนี้มีข้อสันนิษฐานว่า จากประวัติศาสตร์มีระบบการเมืองหลายระบบและทุกสั่งคมมีระบบการเมืองของตน แต่เมื่อเกิดรัฐชาติยุคใหม่ คุณลักษณะบางประการทางการเมืองของระบบรัฐชาติก็ตามมา ดังนั้น สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐยุคใหม่ สถาบันทางการเมืองของสังคมนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับคุณลักษณะเหล่านี้ การเมืองของจักรวรรดิ์ของสังคมชนเผ่าและเชื้อชาติหรือของอาณานิคมจะต้องสลาย ตัวไปเพื่อกลายเป็นระบบการเมืองในรัฐชาติ ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลร่วมกับรัฐชาติอื่น ๆการพัฒนาการเมืองจึงกลายเป็นวิถีทางซึ่งสังคมที่เป็นรัฐชาติในรูปแบบและโดยความ เอื้อเฟื้อของนานาชาติ ได้กลายเป็นรัฐชาติที่แท้จริง กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปคือความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของ สังคมในระดับหนึ่ง ความสามารถที่จะใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ ดังนั้น การทดสอบการพัฒนาการเมืองก็กลายเป็น 1. การสร้างสถาบันทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างที่จำเป็นของรัฐชาติ 2. การแสดงออกที่อยู่ในขอบข่ายของชีวิตของการเมือง ในรูปแบบชาตินิยม กล่าวคือ การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองชองชาตินิยมในขอบข่ายของสถาบันแห่งรัฐมีข้อสำคัญที่จะต้องเน้น ว่า จากความคิดดังกล่าว ความรู้สึกชาตินิยมเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการพัฒนาการเมือง การพัฒนานั้นคลุมไปถึงการถึงความรู้สึกเรื่องชาตินิยมซึ่งกระจัดกระจายไปสู่ สปิริตความเป็นประชากรของชาติ และสำคัญเท่า ๆ กัน คือ การสร้างสถาบันแห่งรัฐที่สามารถจะแปรรูปความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึก เรื่องการเป็นประชาชนนอกเป็นรูปนโยบายและโครงการ กล่าวโดยย่อ การพัฒนาการเมืองคือการสร้างชาติ
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย ระบบการเมืองไทยยังไม่ได้เข้าสู่การเกิดรัฐชาติ แต่การเมืองไทยยังเป็นระบบที่มีอำนาจรัฐครอบงำรัฐ หรือรัฐซ้อนรัฐ ทำให้ประชาธิปไตยเป็นลักษณะประชาธิปไตยนำทาง (guide democracy) ทำใ้ห้ไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยที่เปลี่ยนแปลงจากประชาชนสู่ความเป็นพลเมือง (Citizen)ความรู้สึกชาตินิยมยังมีลักษณะการคลั่งชาติมากกว่าชาตินิยม
5. การพัฒนาการเมืองคือ การพัฒนาการบริหารและกฎหมาย (Political Development as Administrative and Legal Development) ถ้าเราแยกการสร้างชาติออกเป็นการสร้างสถาบันและการพัฒนาความเป็นพลเมือง เราก็จะมีความคิดทางการพัฒนาการเมืองสองแนว ความจริงแล้ว ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองคือการสร้างองค์การมีประวัติมาช้านานซึ่งเป็น พื้นฐานที่ชาญฉลาดของระบบอาณานิคม เพราะว่าเราได้สังเกตเห็นแล้วในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตก ที่มีต่อโลก คือ ความเชื่อที่ว่าในการสร้างสังคมทางการเมืองนั้นก่อนอื่นจำเป็นต้องมีความ เป็นระเบียบทางกฎหมายและจากนั้นความเป็นระเบียบทางการบริหารประเพณี ดังกล่าวได้สนับสนุนทฤษฎีปัจจุบันที่ว่า การสร้างระบบราชการ (Bureaucracy) อย่างสัมฤทธิผลเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา ในความเห็นนี้ การพัฒนาการบริหารมีความเกี่ยวพันกับการมีเหตุผล การเสริมสร้างความคิดทางโลกธรรมและทางกฎหมาย และการมุ่งเข็มความรู้ความชำนาญทางเทคนิคไปสู่สังคมมนุษย์ แน่นอนคง ไม่มีรัฐใดจะอ้างว่า “พัฒนา” ถ้าขาดความสามารถที่จะจัดการเรื่องสาธารณะอย่างได้ผล และเมื่อใดที่รัฐใหม่มีการบริหารที่ได้ผล ปัญหาต่าง ๆ ก็มักจะอยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้ ในทางตรงกันข้าม การบริหารแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ และความจริงแล้ว ถ้าหากมีการบริหารมากเกินไป อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในสังคมซึ่งอาจขัดต่อการพัฒนาทางการเมือง ทำให้การพัฒนาการเมืองที่มุ่งที่เรื่องการบริหารนั้น มองข้ามปัญหาการฝึกฝนพลเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นแง่สำคัญของการพัฒนาการเมือง
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย พบว่ารัฐบาลที่เน้นการเมืองก็จะเน้นระบบราชการมากเกินไป และรัฐบาลที่เน้นการบริหารธุรกิจมากเกินไป ล้วนแต่ละเลยการการฝึกฝนความรู้การเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน การเข้าถึงผู้มีอำนาจค่อนข้างยาก (power distance)
6. การพัฒนาการเมืองคือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Develop-ment as Mass Mobilization and Participation) การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในประเทศอาณานิคมก่อน ๆ มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบ หนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือล้นและมีความผูกพัน ต่อการเมือง ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการ แสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่ ตามความคิดเห็นส่วนมากการพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยาย นี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมี ส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการ มีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้นถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมี ส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในยามปกติรัฐบาลยังไม่ค่อยส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเต็มที่ มีลักษณะการมีส่วนร่วมแบบเจือจาง ไม่เข้มข้น เกิดปัญหาความขดแย้งและการเผชิญหน้าซึ่งมีความเห็นต่างกัน แต่ขาดการปรองดองก่อนปัญหาที่จะเกิดขึ้น การปรองดองเกิดจากปัญหาเกิดขึ้นแล้วจึงมาแก้ไข ซึ่งอาจกระทำได้ยากอย่างยิ่ง และกฎหมายไทยไม่ส่งเสริมองค์การภาคประชาชน มีแต่เพียงองค์การแบบระบบราชการมาตัดสินแทนประชาชน เกิดปัญหาการไม่ยอมรับการมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลที่ดีควรถอดสลักระเบิดความขัดแย้งทางสังคมของประชาชน จึงจะถูกต้อง สร้างภราดรภาพคือความรักต่อประชาชนทุกคนที่เป็นคนไทย 6. การพัฒนาการเมืองคือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Develop-ment as Mass Mobilization and Participation) การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในประเทศอาณานิคมก่อน ๆ มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบ หนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือล้นและมีความผูกพัน ต่อการเมือง ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการ แสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่ ตามความคิดเห็นส่วนมากการพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยาย นี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมี ส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการ มีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้นถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมี ส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย
7. การพัฒนาการเมืองคือ การสร้างประชาธิปไตย (Political Development as the Building of Democracy) ความคิดอันนี้ คือการพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติ ประชาธิปไตย แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตย การมองการพัฒนาการเมืองว่าคือ ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์ ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะ วิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัยนอก จากนี้เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ คนอเมริกันยังมีเหตุผล (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด) ที่จะเชื่อว่า จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ “พัฒนา” มากกว่าเรื่อง “ประชาธิปไตย” ข้อถกเถียงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน หรือตะวันตกมายัดใส่
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยในปัจจุบันมีความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลระหว่างฝ่ายชนชั้นสูงกับคนชั้นล่าง ทำให้ความเข้าใจประชาธิปไตยต่างชนชั้นจึงมีวาทะกรรมต่างกัน หรือเิิกิดจากค่านิยมต่างกัน หรือความเชื่อศรัทธาต่างกัน การขจัดค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตยที่จำกัดในวงแคบ ไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยในวงกว้าง หมายถึงการยกระดับประชาธิปไตยแบบรากหญ้าที่ได้รับการยอมรับของสังคม
8. การพัฒนาการเมืองคือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ (Political Development as Stability and Orderly Change) คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและ สังคม ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา อย่างไรก็ดี เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและ สังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้ ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง เพราะว่า สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลง สังคมอย่างมีเหตุผล ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ “พลัง” สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า ในสังคมใหม่นั้น บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลง สังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม และแน่ละจุดเริ่มต้นของการควบคุมพลังทางสังคม คือ การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้ ก็คือ ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึง ประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้น กลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ ประการสุดท้าย ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญ
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยมีลักษณะสับสน และการเปลี่ยนแปลงมีลักษณะไร้ระเบียบ อันเกิดจากการรัฐประหารทำให้ตัวบทกฎหมายไม่ใช่ฉันทามติของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นเพียงกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างความชอบธรรมเท่านั้น
9. การพัฒนาการเมือง คือ การระดมพลและอำนาจ (Political Development as Mobilization and Power) การ ยอมรับว่าระบบการเมืองนั้นจะต้องมีความสามารถและประโยชน์ต่อสังคมนำไปสู่ ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองคือความสามารถของระบบ เมื่อมีการเถียงว่า ประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ที่จะวัดความสามารถของระบบ และขณะเดียวกันความคิดเรื่องประสิทธิภาพทำให้คิดว่า มีแบบแผนทางทฤษฎีหรืออุดมคติที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง
ความ คิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่ง ระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อ ไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้น สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่ การตระหนักด้วยว่าการกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ การพัฒนา คือ ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม ความสามารถที่จะระดมทรัยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุน ของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้ ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่ ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับ สนุนจากประชาชน อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากว่า การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้เมื่อการพัฒนาการเมืองคือการระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถ จะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้ และดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา ซึ่งได้แก่ จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์ การกระจายวิทยุ พื้นฐานทางภาษีของสังคม สัดส่วนประชากร ในรัฐบาลและส่วนอื่น การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม
ความ คิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่ง ระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อ ไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้น สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่ การตระหนักด้วยว่าการกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ การพัฒนา คือ ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม ความสามารถที่จะระดมทรัยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุน ของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้ ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่ ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับ สนุนจากประชาชน อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากว่า การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้เมื่อการพัฒนาการเมืองคือการระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถ จะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้ และดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา ซึ่งได้แก่ จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์ การกระจายวิทยุ พื้นฐานทางภาษีของสังคม สัดส่วนประชากร ในรัฐบาลและส่วนอื่น การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยขาดการกระจายอำนาจไปสู่สังคม แต่มีลักษณะพยายามรวมศูนย์อำนาจจากศูนย์กลาง และมีการครอบงำอำนาจการเมืองโดยผ่านการเมืองแบบข้าราชการ ทำให้ข้าราชการเข้าไปมีบทบาทมากเกินไป แทนที่จะเป็นกลางทางการเมือง
10. การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Political Development as One aspect of a Multi–Dimensional Process of Social Change) ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการ พัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึง ศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาใน ด้านอื่น ๆ ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา ในด้านอื่น ๆ ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้ตาม ความเห็นดังนี้ การพัฒนามีการเกี่ยวพันกันทุกด้าน การพัฒนาเหมือนกันอย่างมากกับความเจริญทันสมัย (Modernization) และการพัฒนาเกิดขึ้นในกรอบทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอิทธิพลจากข้างนอกสังคมมีต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นเดียวกับ การเปลี่ยนแปลงในแง่ต่าง ๆ ในสังคม กล่าวคือ ทางเศรษฐกิจการเมืองและสภาพสังคมอย่างผูกพันซึ่งกันและกัน
10. การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Political Development as One aspect of a Multi–Dimensional Process of Social Change) ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการ พัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึง ศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาใน ด้านอื่น ๆ ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา ในด้านอื่น ๆ ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้ตาม ความเห็นดังนี้ การพัฒนามีการเกี่ยวพันกันทุกด้าน การพัฒนาเหมือนกันอย่างมากกับความเจริญทันสมัย (Modernization) และการพัฒนาเกิดขึ้นในกรอบทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอิทธิพลจากข้างนอกสังคมมีต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นเดียวกับ การเปลี่ยนแปลงในแง่ต่าง ๆ ในสังคม กล่าวคือ ทางเศรษฐกิจการเมืองและสภาพสังคมอย่างผูกพันซึ่งกันและกัน
ข้อวิจารณ์การเมืองไทย การเมืองไทยขาดการพัฒนาเฉพาะส่วน หรือชนชั้นบางสังคม แต่การพัฒนาคนชั้นล่าง มีการละเลยเพื่อการกินดีอยุ่ดีของคนชั้นล่างทางสังคม และมีการโดดเดี่ยวประชาชนให้เป็นกลุ่มบุคคลที่ล้าหลัง ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างมากขึ้น และเกิดระบบผูกขาดเศรษฐกิจของชาติกับกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลไม่กี่คน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น