ระบบความคิดเก่ากับระบบประชาธิปไตยไม่สามารถเดินไปพร้อม ๆ กัน
เรียบเรียงและแปลจากผู้เขียนชื่อ Enrico A. Stennet
ประชาชนชาวสหราชอาณาจักรดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ภาพลวงตา และหลักการที่หลอกลวงอย่างไร?
ประชาชนชาวสหราชอาณาจักรดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ภาพลวงตา และหลักการที่หลอกลวงอย่างไร?
ตลอดเวลาในยุคของประชาชนอังกฤษได้ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ภาพลวงตา และหลักการที่ผิดพลาด ประการแรกเราถูกทำให้พวกเราเชื่อว่าเรามีชีวิตอยู่ภายใต้สังคมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นภาพลวงตาประการแรก เราสามารถเชื่อในประเทศประชาธิปไตยได้อย่างไรเมื่อเรามีถูกปกครองโดยมรดกของลัทธิขุนนางอำมาตย์ ไม่มีสหสัมพันธ์ระหว่างลัทธิขุนนางอำมาตย์และประชาธิปไตยไม่สามารถมีทั้งสองแนวคิดไปพร้อมกันได้ ภาพลวงตาประการที่สองคือเรามักได้รับการบอกกล่าวว่าเราเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรและอาณานิคม ในทำนองเดียวกันเราก็รู้ว่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อย่างไรก็ดีเราเป็นประชาชนที่เป็นไพร่ฟ้า และประชาชนไพร่ฟ้าในแง่ประชาธิปไตยที่มีความหมายอันน้อยนิดเหลือเกิน
ทุก ๆ 5 ปีที่ผ่านมาเราค้นพบด้วยตัวของเราเองในการจัดทำโพลล์ทั่วประเทศ เพื่อทำการโหวตในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวแทนประชากร ตัวแทนประชากรนั้นไม่เคยได้รับความสนใจจากพวกเรา เรายังคงขึ้นอยู่กับเจ้าขุนมูลนาย และมักจะเป็นเช่นนี้เสมอมา ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของลัทธิอัตตาธิปไตยแบบขุนนาง (feudal aristocracy) อังกฤษจึงมักจะเป็นสังคมแบบขุนนางด้วยการเป็นเจ้าและทาสติดที่ดินของขุนนางในทุกวิถีทาง ในยุคระบบขุนนางชาวนาต้องทำนาจนตาย อย่างไรก็ดีเจ้าที่ดินก็คงคิดภาษีกับชาวนาทุก ๆ เซ็นต์ พวกเขาสามารถถอนขนห่านจากชาวนา โดยยินยอมให้เจ้าที่ดินได้สร้างพระราชวังหรูหรา, แมนชั่น,และที่ดินขนาดใหญ่ที่ความอุดมสมบูรณ์สูงสุดในขณะที่มวลชนอยู่ในภาวะยากจนและหิวโหย
เพียงแต่มีการศึกษาประวัติศาสตร์อังกฤษเพื่อรู้ถึงวิธีการที่คนธรรมดาสามัญของประเทศจะได้รับการประพฤติปฏิบัติ บทลงโทษสำหรับขบถคือความตาย และการลงโทษสำหรับความผิดทางอาญาสำหรับลหุโทษเพื่อเป็นการแล่นเรือออกไปแสวงหาอาณานิคมในสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และทะเลสาบคาริบเบียนอย่างไรก็ตามสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอาชญากรรมที่น่าเกลียดน่าชังที่มีการต่อต้านชนชั้นแรงงาน เพราะว่าอำนาจที่ทำให้ค้นพบว่ายังมีการใช้วิธีการควบคุมมากขึ้น การใช้ระบบการศึกษาซึ่งได้มีการพัฒนามาเป็นเวลาหลายปีซึ่งขึ้นอยู่ระบบชั้นที่เรียกว่าโครงสร้างชนชั้น ในขณะที่ชนชั้นหนึ่งครอบงำอีกชนชั้นหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าที่ดิน
ในระหว่างปี ค.ศ. 1822 กำลังตำรวจชุดแรกของกรุงลอนดอนได้ก่อตั้งขึ้นโดยเลขาธิการเจ้าบ้านคือ โรเบอร์ต พีล ก่อนเขาจะผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติตำรวจมหานครเป็นการบังคับใช้กฎหมายในระหว่างประชากรในอังกฤษได้ดำเนินการโดยอาสาสมัครและผู้เฝ้ามองสังเกตการณ์ อาสาสมัครเหล่านี้เป็นชาวนาชาวไร่เป็นบุคคลที่วางตำแหน่งที่บรรจุชาวนาที่อยู่เหนือชนชั้นชาวนา พวกอาสาสมัครเหล่านี้รับผิดชอบต่อการนำศพไปฝังเพื่อเป็นที่ยกย่องของเจ้าที่ดิน เมื่อโรเบอร์ต พีลพบว่ากำลังตำรวจปัจจุบันมีความคิดเป็นสิ่งที่เขาได้สร้างองค์การในการเป็นตัวแทนองค์การ ได้แก่ชาวนา, แต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเกษตรกรรม, อุตสาหกรรม, การเหมืองแร่ และการขนส่งซึ่งทำให้เห็นว่าชาวนาชาวไร่ได้ย้ายจากท้องไร่ท้องนาไปสู่โรงงานอุตสาหกรรม
จุดกำเนิดของชนชั้นกรรมาชีพ (Prolegariat)
เมื่อเกิดยุคการแลกเปลี่ยนทั้งพืชผลเกษตร และขนสัตว์ของเมืองต่างระดับของเบลลี่ในเคาน์ตี้ของออกซ์ฟอร์ดเชอร์ ปัจจุบันอังกฤษเริ่มต้นในการกำหนดในห้องปฏิบัติการของโลก การใช้วัตถุดิบซึ่งมีการริดรอนตอลดจักรวรรดิอังกฤษและความมั่งคั่งซึ่งทาสนำไปสู่การสร้างโรงงานในขณะที่ชนชั้นแรงงานในปัจจุบันเป็นแรงงานให้เจ้าที่ดิน เด็ก ๆที่มีอายุ 8 ปีถูกนำมาใช้เป็นแรงงานในเหมืองที่เมืองพิต โพนี่ และถูกส่งไปอยู่ในงานที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี
เด็ก ๆ ของชนชั้นแรงงานที่ยากจนมีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระดูกอ่อนที่ตายนับร้อยคน ชนชั้นแรงงานถูกกดขี่มากกว่าในฐานะชาวนา และเจ้าของนาที่มีตระกูลได้ออกมาจากพื้นดินและลงทุนเพื่อความมั่งคั่งแบบใหม่ อังกฤษมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งเริ่มหลั่งไหลเข้ามา พิพิธภัณฑ์และแหล่งรวมศิลปะถูกสร้างขึ้นมาจากนายทาสของทะเลคาริบเบียนซึ่งเป็นการอุปถัมภ์งานศิลปะในขณะที่ทาสเป็นจุดสูงสด ชนชั้นแรงงานปัจจุบันนี้พบกับตัวของเขาเองในสถานการณ์ที่พวกเขาได้จัดองค์กรในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อการปรับปรุงสถานภาพชีวิตให้ดีขึ้น
สำหรับจักรวรรดิอังกฤษได้รักษาความมั่งคั่งซึ่งเกิดจากกระแสจักรวรรดิที่ประเทศได้ต่อสู่ให้กับชาติยุโรป เช่นเยอรมันนี, ฝรั่งเศส,ที่จะทำให้ลดระดับอำนาจของสเปนลง ในขณะเดียวกันนักโทษที่ออกจากคุกที่ถูกจับไปไว้ในสหรัฐอเมริกายังคงมีการประกาศสงครามเพื่ออิสรภาพ สงครามในยุโรปเกิดจากสงครางไครมีน ปี ค.ศ 1914,1918 และ 1939, 1945 ได้พบเห็นคนหนุ่มอังกฤษหลายล้านคนได้ให้ดำรงชีวิตในสงครามยุทธภูมิ
ในสงครามระหว่างปี ค.ศ. 1914-1918 และสงครามระหว่างปี ค.ศ.1939-1945 เราพบว่าชาวผิวดำเรือนพันคนเป็นทาสที่หลุดพ้นออกมาจากทะเลคาริบเบี้ยนและอัฟริกาจากส่วนหนึ่งของอัฟริกาซึ่งอังกฤษขอร้องให้ทาสกลับมาเป็นของอังกฤษ กำลังสูญเสียชีวิตในยุทธภูมิของอาลาเมนในอัฟริกาเหนือ ภายใต้นายพลมองต์โกเมอรี่
ลัทธิรักชาตินิยมของโลกถูกปลูกฝังทั้งร่ายกายและจิตใจของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ซึ่งพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อพระราชา และประเทศของเขา สิ่งที่พวกชนชั้นแรงงานยังไม่ได้ตระหนักก็คือว่าพวกเขาไม่มีประเทศ คนจำนวนล้านไม่เป็นเจ้าของในแผ่นดินของอังกฤษแม้แต่ตารางนิ้ว ผู้ซื่งที่แท้จริงการต่อสู้เพื่อเจ้าของที่ดินนั่นเอง เพื่อที่จะปกป้องอำนาจของเจ้าที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดไม่เพียงแต่พวกเขาซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานภายในจักรวรรดิอังกฤษซึ่งครั้งหนึ่ง
ในสงครามปี ค.ศ. 1939-45 ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อังกฤษได้ใช้เวลาอย่างมากสำหรับความร่ำรวยของอาณาจักรอังกฤษแต่เมื่อสิ้นสุดสงครามพระราชินิแห่งอังกฤษมีการสูญเสียเงินอย่างมาก สหรัฐอเมริกากลับร่ำรวยเงินทองที่ได้สร้างและขายอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อรัฐบาลพรรคแรงงานนำโดยคลีแมนต์ แอตลีได้นำเอาแผนการมาร์แชลเป็นวิถีทางในการสร้างประเทศอังกฤษ
ครั้งหนึ่งที่โรงงานของอังกฤษที่นำมาสู่การผลิตและการส่งออกของสินค้าต่อการสร้างสหราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกันประเทศอาณานิคมได้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษเพื่อความมีอิสรภาพ ภายหลังจากสงครามในชายฝั่งโกลด์โคสต์ ชาวเคนยาและโรดีเซียและการเดินขบวนเรียกร้องเพื่อได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ และพวกเขาได้รับการเตรียมการในการต่อสู้เพื่อให้มาซึ่งอิสรภาพ ความอ่อนแอของอังกฤษไม่สามารถหาเงินหรือเพื่อระดมช่วยให้ได้รับอิสรภาพ อังกฤษได้ข้อสรุปถึงต้นทุนในการดำรงชีพ และเงินทองในความพยายามที่จะรักษาจักรวรรดิค่อนข้างสูง พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะบังคับในการคืนกลับไปสู่ประเทศของเขาให้กับเจ้าของที่มีสิทธิสมบูรณ์ซึ่งก็คือประชาชน
จากอำนาจของขบวนการเคลื่อนไหวของสหภาพการค้าในอังกฤษซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเริ่มต้นที่จะใช้สัญญาลักขณ์ในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชนชั้นแรงงาน แต่วิถีทางและมรรควิธีค้นพบจากการทำลายอำนาจของสหภาพแรงงานการค้า ในขณะที่สงครามโหมกระหน่ำทั้งประเทศกับคนงานอังกฤษได้มีการต่อสู้กับมาตรฐานการครองชีพที่ดีกว่า อำนาจที่ต้องแนะนำในการหยุดยั้งความต้องการของพวกเขาเหล่านั้น
ช้าเป็นกาลนานเป็นคุณในก้าวที่แตกต่างที่ถูกนำมาใช้กีดกันชนชั้นผู้ใช้แรงงานของการได้รับชัยชนะในอิสรภาพ กฎหมายนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับรูปปั้นจากยุคศักดินา และกฎหมายยุคใหม่ที่ถูกนำมาใช้ และผลักดันในการนำไปใช้ต่อต้านพวกเขา พลังตำรวจปัจจุบันกลับเป็นอวัยวะที่สำคัญสำหรับการบังคับกฎหมายในการกดขี่ ในกฎหมายแต่ละฉบับได้ให้ตำรวจมีอำนาจเหนือประชาชน กองกำลังตำรวจได้กลับมาโดดเด่น และอังกฤษได้กลับเป็นรัฐตำรวจ ตำรวจดูเหมือนจะเผด็จการในการนำกฎหมายนั้นควรจะนำมาใช้อย่างไร อังกฤษได้กลับกลายเป็นชาติที่ต่อสู้ภายในประเทศของตนเอง พวกเขากลับพยายามมีอำนาจเหนือในการเปลี่ยนจากพี่ชายต่อต้านน้องชาย, พ่อต่อต้านลูก,ภรรยาต่อต้านสามี เช่นเดียวกันกับที่เห็นได้ในอาวุธที่นำไปใช้กับรัฐบาลที่นิยมแธชเชอร์ในการพ่ายแพ้กับชาวเหมืองแร่ สิ่งนี้นำไปสู่การทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของสหภาพการค้า และการปิดโรงงาน งานเหล็กกล้าในเมืองของคนผิวดำ ได้เลิกจ้างคนงานเป็นแสนคนเป็นทีระลอก ๆ
ในสถานะปัจจุบันนี้ เราคงไม่มีโรงงานอื่นใด ดังนั้นชนชั้นผู้ใช้แรงงานได้ถูกกดขี่ในการดำรงชีวิต ในขณะที่พวกเราขายโรงงานด้วยการประมูลแก่ชาวต่างชาติ อังกฤษได้เปลี่ยนแปลงวิธีการ ซึ่งปัจจุบันนี้หล่อนได้มาถึงบรรลุเป้าหมายของเวทีที่ไม่มีอาณานิคมอีกต่อไปที่จะกดขี่ การกดขี่ปัจจบันมาจากภายใน ภาษีที่สูงขึ้นของคำอธิบายเกี่ยวกับบริการทั้งหลาย ซึ่งความผิดพลาดนำมาจากความหลงผิดของประชาชน ในขณะที่พวกเขาควรจะมีความสุขต่อการปลดปล่อยอิสรภาพ จากการใช้แนววิธีการเก่า ๆของความรักชาติให้ต่อพระราชินิ และประเทศ ในขณะที่พวกเขามีชีวิตยากจนในกรงนก พวกเขาสามารถสร้างรั้วป้องกันตัวเขาได้ มีเพียงแต่รั้วปกป้องหากเป็นตำรวจและเป็นศาล
โดยสรุป สรุปความเป็นประชาธิปไตยกับระบบขุนนางอำมาตย์มักไปด้วยกันไม่ค่อยได้ หากระบบนั้นไม่มีการปรับตัวในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นความคิดต่างกัน หรือวิถีชีวิตที่ต่างกัน การแก้ปัญหาชนชั้นในสังคมทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรือประเทศไทย ต้องไม่ควรมีจุดยืนในลักษณะของการยึดถือ หรือยึดโยงผลประโยชน์ใด ๆ มาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ใช้จิตวิญญาณของการเข้าใจเพื่อนมนุษย์ในสังคมโลกในลักษณะเอาใจเขามาใส่ใจเรา มิใช่ให้คนอื่นมาเอาใจเราตลอดเวลา และไม่ควรสร้างสังคมที่หลงไหลอำนาจมากเกินไป และต้องระวังคนที่คอยเอาใจเราอยู่อย่างผิด ๆ ทำให้เกิดมิจฉาทิฐิรุ่มร้อน และจะแสดงออกมาทางสีหน้า ดังนั้นการปรองดองของสังคมที่ขัดแย้งระหว่างชนชั้น และระหว่างความคิดต่างกัน คงไม่ใช่การขัดแย้งเพียงแค่บุคคลเท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งจากรากฐานของสังคมที่ยังไม่ได้เยียวยาแก้ไข โดยการสร้างรัฐสวัสดิการ มีแต่ชนชั้นนำเท่านั้นที่ยอมลงเกลือกกลั้วและเข้ามาสัมผัสแก่คนผู้ยากไร้ในแผ่นดินนี้ ด้วยการติดดิน, เข้าไปศึกษา, และนำไปสู่พัฒนาเท่านั้น การปกครองจึงจะยั่งยืนและไม่กดขี่ข่มเหงหรือข่มขู่คุกคาม เพราะนั่นคือพฤติกรรมที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเป็นแน่แท้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น