พลังซ่อนเร้น 6 ประการในการนำคุณสู่ความสำเร็จ (ตอนที่ 2)

พลังซ่อนเร้นประการที่ 3 คือเฝ้ามองอนาคต   

       หากคุณเคยผิดพลาดจากอดีตในการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คุณไม่สามารถบดขยี้สิ่งล้มเหลวออกจากไป คุณก็จะไม่สามารถขยับเขยื้อนก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้าได้ การพ่ายแพ้สูญเสียเป็นสิ่งที่ดีหากคุณตีความมันได้ถูกต้อง  ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นคือ เพื่อนของข้าพเจ้าบอกว่าใช้เวลากี่ปีที่คุณเคยกับเขา ได้เข้าพบเขาในเรื่องขอคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นที่ทำกำไร 3 เท่าของราคาในสองสัปดาห์  ราคาอยู่ 7.45 เหรียญต่อหุ้น  ดังนั้นเขาจึงสำคัญผิดโดยซื้อหุ้นในราคา 200 เหรียญต่อหุ้น จากวันนั้นเป็นต้นมาหุ้นร่วงลงมา  ท้ายที่สุด 18 เดือนต่อมาเขาตัดสินใจที่จะตัดใจขายขาดทุนไป   เขาเทขายหุ้นทั้งหมดทำให้สูญเสียเงินก้อนโตในขณะที่หุ้นเติบโตขึ้นถึง 413 เหรียญ เขาได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดครั้งหนึ่งในชีวิตทำให้เขากลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง  อย่างไรก็ตามคนฉลาดได้อธิบายไว้ว่า เขาควรดีใจทีได้เรียนรู้บทเรียนที่ล้ำค่าสอนเขาเอง คือ
1.      อย่าสนใจกับบุคคลที่ต้องการให้คำแนะนำให้ซื้อหุ้นเร็ว ๆ
2.     ตรวจสอบกับบริษัทอย่างระมัดระวังก้อนซื้อ
3.     ขายหุ้นขณะที่กำลังจะตกหนัก
การศึกษาเกี่ยวกับคุณธรรมสูงสุด

     อย่าได้สำคัญผิดซ้ำซาก  มันฉุดให้ความสำคัญผิดอย่างหนึ่งและสูญเสียกำลังใจในการที่ย้อนกลับไปทบทวน หากคุณสามารถเรียนรู้ที่จะดีใจที่คุณไม่ล้มเหลวอีกแต่ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าในชีวิต  ซึ่งทำให้ทัศนคตินั้นจะช่วยให้คุณสร้างความสำเร็จในอนาคตได้   การไม่ได้งานทำ บางทีคุณอาจไม่เหมาะสม ดังนั้นจงใช้เวลาตัดสินใจว่าต้องการทำอะไรอย่างแท้จริง จงสรรสร้างธุรกิจและแล้วมันล้มเหลวใชใหม่ บางที่คุณไม่ชอบทำธุรกิจด้วยตัวของคุณเอง  คุณขายสินค้าไม่ได้ใช่ใหม? จงมองไปที่เหตุผลและดำเนินการ อีกทั้งพยายามหาวิถีทางที่จะขายสินค้า หรือหาสินค้าตัวใหม่ขายที่แตกต่างออกไป
    จงสำนึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ยอมรับความผิดพลาด จงสำนึกว่าเขาเป็นคนที่ดีใจที่ทำให้เกิดความผิดพลาด การเอาชนะหรือความพ่ายแพ้ เป็นภาวะทางจิตใจเท่านั้น
พลังซ่อนเร้นประการที่ 4 คือไม่สายเกินแก้    
      เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ เมื่อเรื่องราวต่อไปนี้เป็นสิ่งธรรมดาเหลือเกิน  บิลล์ใช้เวลาอบรมหลายปีในการเป็นวิศวกร, แม้ว่าเขาไม่ชอบงานวิศวกรรมอย่างแท้จริง แต่เขาคิดว่ามันควรค่าแก่การเสียสละในการเรียน เพราะว่าได้ค่าตอบแทนในการทำงานดี หลังจากจบวิทยาลัย เขาเริ่มต้นทำงานกับบริษัทวิศวกรรม หลายปีต่อมาเขาคงก็คงทำงานอยุ่ที่บริษัทแห่งนั้น และยังคงไม่ชอบทำงาน ข้อแก้ตัวของเขาคือการยอมจำนนกับภาระทางครอบครัวที่เขาเสียสละที่จะลาออกจากบริษัทวิศวกรรม และออกไปหางานใหม่ทีมีเงินเดือนต่ำกว่า  หลังจากเวลา 20 ปีที่ผ่านมาเขาก็ยังคงกลัวตัดสินใจผิดพลาด เขาไม่เคยจะเปลี่ยนงาน, ด้วยเหตุผลง่าย ๆว่ามันสายไปแล้ว เขาไม่ต้องการแข่งขันกับคนหนุ่มที่มีประสบการณ์ในการทำงาน    หากคุณมีเป้าหมายและค้นพบด้วยตัวเองโดยกล่าวว่า “มันสายไปเสียแล้ว” หนทางเดียวที่จะนำสู่ความพ่ายแพ้กับความเกรงกลัวคือการไม่คิดถึงการเปลี่ยนแปลง และเดินหน้าทำไปด้วยความกลัว   ไม่มีอะไรสายเกินไปหากคุณมีความกล้าหาญ และยอมเดินตามความฝันของคุณเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ