ทำไมอาจารย์มหาวิทยาลัยจึงต่อต้านการจัดทำ TRF,TQF (เครื่องมือวัดคุณภาพอุดมศึกษา)
TRF และ TQF เป็นเครื่องมือวัดคุณภาพอุดมศึกษาที่สำนักงานคณะกรรม สกอ.ได้นำมาใช้เป็นเวลาหลายปี ได้รับการต่อต้านจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาเป็นครั้งที่สองแล้ว เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้คณาจารย์มากกว่า 600 คนนำเสนอให้รัฐมนตรีสั่งการให้ยกเลิกกรอบมาตรฐานอุดมศึกษา ซึ่งการนำรูปแบบการกรอกเอกสารทุกภาคการศึกษาเกี่ยวกับวิชาที่สอน, จำนวนคาบ,เนื้อหาที่สอนระหว่างคาบ, เทคนิคการประเมินผลในการเรียนการสอนมีตัวชี้วัดความสำเร็จ, การกำหนดตัวชี้วัด ฯลฯ การใช้ระบบเอกสารที่ต้องกระทำซ้ำซากในทุกภาคการศึกษา ซึ่งคณาจารย์ยังไม่ทราบว่าทำไปเพื่ออะไร?, เพื่อใคร, และสะท้อนคุณภาพประการใดนั้นไม่มีความชัดเจน เพราะเป็นที่ปรากฎว่าครูอาจารย์ต้องสูญเสียเวลาไปกับการทำเอกสารที่น่าเบื่อหน่าย และไม่มีผลต่อคุณภาพ ซึ่ง สกอ.ควรหาเครื่องมือที่ตรงต่อคุณภาพมากกว่านี้ เพราะจากการศึกษาในระดับประถมศึกษา หรือในระดับมัธยมศึกษาก็เคยมีบทเรียนในอดีตที่ครูต่าง ๆต้องหัวฟูในการทำแฟ้มสะสมงาน, หากจะทำผลงานวิชาการก็ต้องเขียนผลงานวิชาการเล่มโต ในขณะที่ครูสอนในแต่ละสัปดาห์มีมากเกินไป บางแห่งก็มีน้อยจึงไม่สมดุลกัน ครูบางพื้นที่ที่มีงานสอนน้อยก็ย่อมมีเวลาแต่ครูที่มีงานสอนเยอะเมื่อต้องหันมาเขียนผลงาน หรือแฟ้มสะสมงาน หรืองานเอกสารอื่น ๆ อีกมากนั้น ทำให้ครูต้องจมปลักอยู่ักับงานที่ไม่จูงใจ เพราะไม่ได้มีระบบการประเมินผลจากการสอนหนังสือ ทำให้ครูไม่มีเวลาให้กับนักเรียนอย่างเต็มที่ เพราะไม่มีระบบที่จะจูงใจที่ครูให้เวลากับนักเรียนหรือตั้งใจสอนแล้วจะมีความก้าวหน้าอย่างไร แต่ใครวิ่งเต้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็จะเติบโตดีกว่า ทั้ง ๆที่อาจไม่เก่งวิชาการเท่ากับอาจารย์ จากผลวิจัยพบว่าคุณภาพโดยรวมของระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตกต่ำลงอย่างมาก และเช่นเดียวกันในระดับมหาวิทยาลัยมีผลกระทบหลายด้านนอกจากการจัดทำเอกสารที่ไม่มีผลต่อคุณภาพ หรือเน้นการสอนที่มีระดับปริญญาตรี,โท,เอก ทำให้อาจารย์ไม่มีเวลาสร้างองค์ความรู้เพิ่มขึ้นด้วยตนเอง ส่วนผู้บริหารไม่สนใจในเรื่องคุณภาพ มีเพียงผู้บริหารที่ดีเท่านั้นที่สนใจและตั้งใจเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้จะมีน้อยลงเนื่องจากแรงจูงใจในการทำธุรกิจการศึกษามีมากกว่า ดังนั้นนอกจากนี้ต้องทำให้ครูต้องมีจิตวิญญาณจริง ๆ จึงจะหันไปเหลียวแล และตั้งใจ แต่ถ้าหากครูขาดจิตวิญญาณก็มุ่งไปยังการแสวงหารายได้ หากเป็นครูสอนในท้องถิ่นการหารายได้จะน้อยกว่าครูในเมือง ทำให้อาจารย์มุ่งเน้นงานสอน และแย่งงานสอนกันในหลายมหาวิทยาลัย ทำให้อาจารย์ดี ๆ หรือมีคุณภาพไม่ได้สอน และอาจเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคนที่ไม่ใช่พวกพ้องของตน ทำให้ระบบการศึกษาไม่ได้มุ่งผลิตเพื่อคุณภาพ เพราะขาดระบบการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกครู หรืออาจารย์ บางแห่งนำพวกพ้องเข้ามาทำงาน และเข้าไปสู่ระบบการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัย กลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์มากมาย การศึกษาหลายแห่งจึงกลวง มีโครงสร้างสวยหรู แต่บรรยากาศมหาวิทยาลัยไม่มีบรรยากาศแบบวิชาการอย่างจริงจัง และที่น่าเกลียดก็คือในมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอนมากกว่าวิจัย หรือมีการเบิกโหลดค่าชั่วโมง หากไม่ได้ทำงานวิจัยแล้วจะไม่สามารถเบิกค่าสอนได้ ซึ่งเป็นการคุกคามอาจารย์ ทำให้อาจารย์มีคุณค่าน้อยกว่ากรรมกรเสียอีกที่เขาทำเกินชั่วโมงปรกติก็จะมีค่าล่วงเวลา แต่กลับอาจารย์กลับถูกคุกคามและถูกบังคับจากกฎกติกามหาวิทยาลัย และไม่มีงบสนับสนุนการวิจัยในชั้นเรียนด้วย จึงทำให้กลายเป็นภาระอย่างมาก และอาจถูกตัดเงินค่าสอนไปอีก และทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะกำหนดอย่างไรก็ได้ เพราะมีพวกพ้องมากมายในมหาวิทยาลัย เช่นการแต่งตั้งบรรจุพวกพ้องเข้าไปทำในหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญแต่ไม่มีความสามารถทางวิชาการในการคุมหลักสูตร คณบดีบางคนหากินกับการกินงบประมาณในหลักสูตรมากมายซึ่งควรมีการตรวจสอบเพราะเป็นการทุจริตในหน้าที่ ดังนั้นความเป็นธรรมในมหาวิทยาลัยจึงสาบสูญหายไปทีละเล็กละน้อย คงเหลือแต่บางมหาวิทยาลัยที่ยังมีจิตวิญญาณของการเป็นอาจารย์ที่ดี ดังนั้นควรมีการทบทวนปฏิรูปถึงปฏิวัติการศึกษาขนานใหญ่ได้แล้ว เพราะจะเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยที่รัฐมนตรีช่วยหรือรัฐมนตรี ควรเข้าไปเยี่ยมชมรับฟังปัญหาตามมหาวิทยาลัยเพื่อบุคคลที่เป็นผู้นำควรรู้ปัญหาเชิงลึก เพื่อล้วงลูกและแก้ปัญหาทั้งระบบ ต้องมีการสังคายนากันได้แล้วเพราะนับวันจะกลายเป็นความแตกแยกในมหาวิทยาลัยระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยใช้ระบบอุปถัมภ์และอยู่ในอำนาจนานเกินไปจนกลายเป็นสร้างอาณาจักร นอกจากนี้ในการแสวงหารายได้นั้น มิใช่เป็นความผิดที่ครูอาจารย์จะหารายได้ เพียงแต่คุณภาพการศึกษานั้นส่งผลกระทบต่อตัวนักศึกษาที่เรียน เพราะการบรรจุผู้สอนนั้นบางครั้งไม่ได้ใช้ระบบคุณธรรมที่มีการวัดผลอย่างจริงจัง แต่เป็นการหาคนมาทำงานที่เป็นพวกใครพวกมัน ทำให้มหาวิทยาลัยจึงเป็นสังคมเลือกปฏิบัติ มีการแบ่งชั้นขีดขั้นเหมือน ๆ กับการบริหารของรัฐบาลที่เน้นระบบราชการ นอกจากนี้การจัดเกรดมหาวิทยาลัยก็ไม่มีความเป็นธรรมในการที่จะประเมินผลของมหาวิทยาลัย เพราะนั่นคือเท่ากับแบ่งชั้นมหาวิทยาลัยไปในตัวซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง สกอ.ควรจัดการประเมินมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง และการจัดสรรเงินงบประมาณนั้นมิใช่มหาวิทยาลัยใหนเกรดดีกว่าจะได้รับงบประมาณดีกว่า แต่การที่มหาวิทยาลัยบางแห่งต้องสอนนักศึกษาที่ถูกคัดเลือกเกรดมาแล้วจากคะแนน ก็จะทำให้มหาวิทยาลัยถูกเลือกปฏิบัติในการจัดสรรเงินงบประมาณ เพราะอาจารย์ที่สอนเด็กไม่เก่งจะต้องใช้ความสามารถสูงกว่าอาจารย์ที่อยู่ในมหาวิทยาล้ัยที่มีนักศึกษาเก่งอยู่แล้ว ดังนั้นระบบการศึกษาควรนำระบบคุณธรรมมาใช้อย่างจริงจัง ทำให้อาจารย์เป็นนักวิชาการที่มีคุณภาพ เป็นอาจารย์มืออาชีพ มิใช่ทำอาชีพอาจารย์เป็นธุรกิจ หรือทำมหาวิทยาลัยเป็นธุรกิจ ซึ่งเป็นปรัชญาถ้าดูเผิน ๆ ก็ดูดี เพราะเน้นปริมาณ แต่ในเรื่องคุณภาพจะมีปัญหา ยิ่งเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ไม่ควรจัดการศึกษาเน้นธุรกิจ แต่เน้นคุณภาพ ไม่ควรให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเน้นหากินกับหลักสูตรมากมายจนละเลยคุณภาพ ทำให้ผลตอบแทนผู้บริหารมหาวิทยาลัยมีมากเกินไป ทำให้ผู้บริหารจึงคิดแต่การสร้างหลักสูตรมาก ๆ และบางแห่งก็หากินโดยจัดทีมอาจารย์เป็นชุด ๆ บางแห่งตั้งเงินเดือนผู้บริหารระดับสูงเงินเดือนสองสามแสน ซึ่งเงินเดือนมากกว่า สส.หรือรัฐมนตรีเสียอีก นอกจากนี้ยังมีเงินจากบริหารหลักสูตร เช่นเป็นประธานในทุกหลักสูตร, เงินจากประมูลงานต่าง ๆ และบางครั้งก็กลั่นแกล้งคนที่มีความคิดเห็นต่างกัน แต่ปรารถนาดีก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะค่านิยมที่ถูกสร้างอย่างผิด ๆ สรุปก็คือ สกอ.อาจมีความปรารถนาดีก็จริง แต่ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด หรือไม่ถูกกาลเวลา บางครั้งก็มาแก้ปัญหาปลายเหตุ เช่นในเรื่องระบบคุณวุฒิอาจารย์ต้องมีการตรวจสอบในแต่ละหลักสูตรว่าตรงสาขา สถาบันที่จบการศึกษาได้รับการยอมรับหรือไม่ ไม่ใช่เปิดมาแต่ไม่ได้สำรวจก่อนว่าคุณวุฒิความสามารถเพียงพอหรือไม่ เมื่อมาแก้ปัญหาทีหลังจึงแก้ไขได้ยาก ควรแก้ก่อนปัญหาเกิด ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วจึงมาแก้ปัญหาภายหลัง นอกจากนี้ทบวงมหาวิทยาลัยต้องมีผู้นำที่เก่งทางวิชาการในเชิงกว้างขวาง และมิติในการมองหรือวิสัยที่กว้างขวาง และเป็นนักบริหารมืออาชีพ ไม่นิยมระบบอุปถัมภ์ แต่มีระบบการคัดเลือกมืออาชีพเข้ามาทำงานในระดับนี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่จะดูแลมหาวิทยาลัยต้องมีฝีมือการทำงานเหนือกว่าอาจารย์ที่ปฏิบัิติงานในมหาวิทยาลัย ถึงว่าไม่มีฝีมือทางวิชาการที่เหนือกว่า แต่ก็ต้องมีฝีมือที่สามารถมองปัญหาออก และร่วมกันแก้ปัญหาได้ตรงจุด มิใช่แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันหนึ่ง ๆ แต่มิได้แก้ปัญหาที่รากเง่าของปัญหา จึงทำให้มหาวิทยาลัยปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และขาดแรงจูงใจ รวมทั้งความเป็นธรรมของพนักงานมหาวิทยาลัยที่กลายเป็นลูกเมียน้อย ที่ค่าตอบแทนไม่เท่าเทียมกับข้าราชการ ศักดิ์ศรีและเกียรติยศ รวมทั้งสิทธิต่างๆ ไม่เท่าเทียม ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องยกเครื่ององค์กรมหาวิทยาลัยทั้งระบบได้แล้ว โดยไม่เน้นให้อาจารย์ทำงานแบบหัวฟูแบบไม่ลืมหูลืมตาและไม่ได้พักผ่อน แต่ควรให้นำเวลาไปศึกษาค้นคว้าวิจัยความรู้มากกว่าจะไปทำเอกสารจุกจิกแต่ไม่สามารถสะท้อนอะไรได้มาก และเน้นไปที่ห้องเรียนของนักศึกษามากกว่า, บรรยากาศการเรียน, ผู้บริหารมหาวิทยาลัยควรเดินสอดส่องการสอนหนังสือของอาจารย์ มิใช่นั่งอยู่ในห้องสำนักงานคอยฟังรายงานอย่างเดียว การทำงานควรเป็นแบบเชิงรุก ไม่ใช่เชิงตั้งรับ และมิใช่เน้นการเที่ยวเตร่ดูงานต่างประเทศ แต่ไม่สามารถนำมาพัฒนามหาวิทยาลัย กลายเป็นความสุขสบายของผู้บริหารมหาวิทยาลัย แถมได้เงินมากเชิงธุรกิจ แทนที่จะทำให้มหาวิทยาลัยมีคุณภาพที่แท้จริง สามารถยกระดับคุณภาพกับต่างประเทศได้อย่างดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น