มรสุมรุมเร้านาวายิ่งลักษณ์

     จากการบริหารประเทศของรัฐบาลโดยเริ่มจากการชี้แจงนโยบายนั้น  ปรากฎว่าบรรยากาศในรัฐสภาเหมือนกับการค้านเป็นยกแรก  การที่ฝ่ายค้านสามารถใช้คารมโวหารที่รุกเร้าโจมตีการบริหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นหากเป็นเพียงในสภาก็ถือว่ายังพอกล้อมแกล้มไปกันได้  แต่หากการพูดผ่านสื่อทางทีวีที่อาจก่อให้เกิดการยั่วยุและปลุกเร้าความไม่พอใจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์  แต่ทว่าการที่ค้านเร็วเกินไปทำให้ความชอบธรรมหรือการยอมรับจากประชาชนไม่มีพลังเพียงพอ  เพราะประชาชนในชาติทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่ารัฐบาลใหม่เพิ่งเข้ามาทำงาน  การจะสนองตอบอย่างเร็วพลันหรือการมั่นหมายทำให้เป็นไปอยางที่พูดนั้นคงต้องใช้เวลาดังคำกล่าวที่ว่า "เวลาพิสูจน์กำลังม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"  แต่เมื่อเราย้อนดูอดีตจะพบว่าการทำงานของรัฐบาลเก่าที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้เป็นผลงานเชิงประจักษ์ในลักษณะที่เคยรับปากสัญญากับประชาชนในระยะเวลาเป็นแรมปี   แต่รัฐบาลใหม่เพียงไม่นานก็สามารถทำงานและทำตามสัญญาให้กับประชาชน  แม้ว่าการใช้จ่ายอาจจะมีมาก แต่การหารายได้ของภาครัฐคงต้องใช้เวลาซึ่งหากฝ่ายค้านใจเย็นและรอคอยที่จะใช้โอกาสโจมตีก็จะมีเหตุผลชอบธรรม 
        1. การที่ฝ่ายรัฐบาลชี้แจงถึงเหตุผลในทางเศรษฐกิจนั้น โดยเฉพาะเรื่องปากท้องนั้น รัฐบาลใช้วิธีเพิ่มรายได้, ลดรายจ่าย, สร้างโอกาส  การที่ให้โอกาสประชาชนมีรายได้หรือมีการถือเงินอยู่ในมือทำให้อำนาจการจับจ่ายใช้สอยมีความคล่องตัว   เงินได้มีการกระจายไปถึงประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ภาครัฐเก็บเงินไว้อยู่ฝ่ายเดียว  กอปร์กับข้าวของมีราคาแพง ทำให้รายได้หรือค่าจ้างที่แท้จริงไม่สมดุลกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน  
        2. รัฐบาลต้องเสริมสร้างพันธมิตรกับประเทศอื่น ๆ ในการลงทุนทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยใช้ช่องโอกาสที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศการลงทุน   หน้าที่ของรัฐคือเน้นเศรษฐกิจที่เติบโต และเน้นการส่งออกในประเทศที่ยังไม่เข้าถึง โดยเฉพาะอาหารการกินซึ่งเป็นของจำเป็นในระดับโลก
        3. การเสริมสร้างผู้ประกอบการขนาดย่อม เป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากภาคธุรกิจจำเป็นต้องลดทอนจำนวนคนอันเนื่องจากต้นทุนค่าจ้างหรือค่าใช้จ่ายสูงขึ้น  ทำให้รัฐควรมีนโยบายภาษีหรือนโยบายการคลังที่ส่งเสริมในการสร้างผู้ประกอบการจำนวนมากที่เป็นขนาดเล็ก  โดยมีสินเชื่อประกอบการดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟูมฟักธุรกิจขนาดเล็กให้อยู่รอด และมีกำไร  การเก็บภาษีควรมีการยกเว้นเพื่อจูงใจ
        4. ส่งเสริมรัฐวิสาหกิจสร้างรายได้อย่างมหาศาล  โดยเน้นการประหยัดค่าใช้จ่ายในทุกรูปแบบ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจมีกำไรส่งให้รัฐบาลได้หล่อเลี้ยงเจือจานเป็นสวัสดิการแก่ประชาชน ทั้งนี้โดยส่งเสริมพลังงานทดแทน เพื่อลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง หรือการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เช่นค่ากระแสไฟฟ้า, น้ำประปา    การบริหารรัฐวิสาหกิจควรมีองค์กรภาคประชาชนเข้าไปช่วยดูแลผลประูโยชน์แทนประชาชน  ใช้ระบบคุณธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายบรรจุบุคคลในทุกแห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  และไม่เป็นที่โจมตีของฝ่ายค้านได้
        5. ในการแต่งตั้งบุคคลเข้าไปทำงานในองค์กรใด ๆ ควรเน้นบุคคลที่มีความสามารถตรงกับสายงาน และเป็นมืออาชีพ  การจ้างงานดูที่ผลงานเป็นปี ๆ หากทำไม่ได้ก็ถือขาดประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ก็เปลี่ยนแปลงตัวบุคคลได้ และมีเหตุผลในการเปลี่ยนแปลง หากใช้ระบบอุปถัมภ์ไปแก้ไขก็จะกลับกลายเป็นข้อตำหนิของฝ่ายค้าน หรือเป็นจุดโจมตีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่ง  หากมีกติกาในการเปลี่ยนคนอย่างเหมาะสมก็จำเป็นต้องใช้หลักการ โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
        6. การมองผลงานในช่วงระยะสั้นยังไม่สามารถวัดผลได้เต็มที่  ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะมองออกว่าผลงานรัฐบาลเป็นอย่างไร  ควรที่ฝ่ายค้านควรใจเย็นและอดทนรอคอย เพื่อให้โอกาสเปรียบเทียบผลงาน   ว่าใครดีกว่ากัน และสิ่งที่จะวัดได้คือประชาชนเท่านั้น มิใช่คนกลุ่มน้อยหรือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมาเป็นตัวชี้วัด 
          สรุป ค่าของคนอยู่ที่ีผลของงาน หรืออยู่ที่การกระทำที่บรรลุความสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และคนไทยทุกคน   โดยมองภาพรวมว่าเป็นที่พึงพอใจก็ถือว่าใช้ได้ หากภาพรวมไม่พึงพอใจก็แสดงว่าผลงานยังไม่ดีเท่าที่ควร


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ