แนวคิดปรัชญาของรุสโซ่ : เจตน์จำนงทั่วไปและสังคมที่มีการจัดระเบียบที่ดี
ความเชื่อที่ว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดีที่ถูกปลุกเร้าโดยนักปรัชญาฝรั่งเศสคือจัง จ๊าค รุสโซ, Jean Jacques Rousseau (1712-1778) เขาเชื่อว่าคนในรัฐโดยธรรมชาติบริสุทธิ์เป็นคนดีที่สุดและสิ่งที่มนุษย์ถูกกลโกงจากความไม่เป็นธรรมชาติของอารยธรรม ในสภาวะของธรรมชาติที่ผู้คนมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองครอบครองความเป็นอิสระอย่างเบ็ดเสร็จและเป็นไปตามความสมัครใจ
ตามหลักการของรุสโซ่ (Rousseau) โดยสภาพธรรมชาติที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแยกตัวโดดเดี่ยวไม่ชอบทำสงครามและความปรารถนาของพวกเขามีน้อยและถูกจำกัดขีดวงเช่น (ความต้องการอยู่รอดขั้นพื้นฐานของพวกเขา) คนไม่ได้มีแรงขับที่จะครอบครองทรัพย์สมบัติมากขึ้น มี คนมากมายทั่วไปที่ขาดจากการพึ่งพิงคนอื่นๆและไม่ใช่ความจำเป็นอย่างแท้จริง ในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามคนยังมีความไม่เห็นอกเห็นใจและความเมตตาที่สนองต่อผู้อื่นโดยไม่มีการแบ่งแยกและไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของระบบคุณธรรม
ในธรรมชาติของรัฐนั้นไม่มีการเห็นแก่ตัวเองและมีการแสดงถึงความเมตตา รุสโซ่มองอย่างเมตตาธรรมสำหรับการที่ไม่สมควรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ มนุษย์โดยทั่วไปจะแสดงตนว่าเป็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณธรรมเหนือมนุษย์ เขาถือว่าเป็นการดูถูกผู้อื่นซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายความรู้สึกว่าเป็นรองผู้อื่นและเป็นที่เลวร้ายเสมอ รุสโซ่ต้องการความรู้สึกของคนไม่มีความเจ็บปวด รู้สึกว่าสังคมที่ดีควรเป็นสังคมที่ไม่มีการตำหนิ, การวิจารณ์การตัดสินการเปรียบเทียบกับคนอื่นและแตกต่างของการคุณค่าในมนุษย์ เขากล่าวว่ามันเป็นสิ่งผิดพลาด หากเราตระหนักถึงความแตกต่างเพราะทำให้คนไม่เท่าเทียมกัน มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่งที่จะถูกสบประมาทมากกว่าที่จะได้รับบาดเจ็บ เจตน์จำนงที่ดีของรุสโซ่คือบุคคลที่ตั้งใจที่ดีมากกว่าการมีความสำเร็จหรือลักษณะภายนอกของเขา รุสโซ่ชี้ชัดว่ามนุษย์มีความดีโดยธรรมชาติและเชื่อว่ามีความดีเท่ากับคนอื่น ๆ เช่นกัน สำหรับ รุสโซ่แล้วมนุษย์คนหนึ่งอาจเป็นเพียงแค่ไม่มีคุณธรรมและความดีโดยไม่มีความพยายาม ตามทัศนะของรุสโซ่คนในรัฐของธรรมชาติมีอิสระ,ฉลาดและเป็นคนดีและกฎของธรรมชาติก็เอื้อประโยชน์เช่นนั้นด้วย มันเป็นอารยธรรมที่ทำให้เกิดทาสและมนุษย์ที่คดโกงและทำให้เขาไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะ โดยกฎของธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน แต่มนุษย์พยายามสร้างความแตกต่างกันในหมู่มนุษย์กันเอง
การทุจริตโดยอารยธรรม : คือจุดกำเนิดของความไม่เท่าเทียมกัน
ปัญหาพื้นฐานสำหรับรุสโซ่คือไม่ใช่เป็นธรรมชาติหรือที่มนุษย์แต่เป็นสถาบันทางสังคม ในทัศนะของรุสโซ่กล่าวว่าสังคมเอาเปรียบคนที่บริสุทธิ์ โดยทัศนะวามนุษย์ไม่มีข้อจำกัดโดยธรรมชาติของมนุษย์ รุสโซ่อ้างว่ามนุษย์ถูกจำกัด และกลโกงจากการจัดการทางสังคม การคิดเกี่ยวกับอิสรภาพจึงเป็นสิ่งสมบูรณ์ รุสโซ่ไม่ได้ประกาศตัวในเรื่องโลกของธรรมชาติและกฎธรรมชาติ,ข้อจำกัดที่ซ่อนเร้น
รุสโซ่ยึดถือว่าเหตุผลที่มีโอกาส แต่ก็ล้มเหลวแสดงถึงการสะท้อนเป็นการขัดกับธรรมชาติ รุสโซ่ยืนยันความดีโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ได้รับถูกกดทับความก้าวหน้าในสิ่งที่เขากระทำและความรู้ที่เขาได้มา เขาได้บรรลุการดำเนินการโจมตียุคของเหตุผลโดยมุ่งเน้นความรู้สึกที่อยู่ตรงกัน ข้ามกับเหตุผลที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเป็นสัจจธรรมและในอนาคต ความคิดของเขาจึงเป็นแนวหน้าของแรงผลักดันในการเคลื่อนไหวของชาวโรมัน
รุสโซ่ได้รับการยกย่องในเรื่องสัญชาตญาณ,อารมณ์,แรงดลใจ,ความรู้สึกและความมีเมตตา เขาเชื่อว่าเหล่านี้ทำให้เกิดทัศนะที่หยั่งลึกเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความจริงมากกว่าเหตุผล รุสโซ่จึงให้น้ำหนังเหตุผลน้อยที่สุดและความแตกต่างในคุณค่าทางศีลธรรมของบุคคล เขาล้มเหลวที่จะตระหนักว่าเสรีภาพจะไร้ความหมายเมื่อขาดเหตุผล เขาไม่ได้หยิบหยกเหตุผลที่เชื่อมโยงที่ขึ้นอยู่กับโลกของค่านิยม
รุสโซ่ตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ชีวิตที่เงียบสงบในรัฐโดยธรรมชาติที่คนยังไม่ได้รับสิ่งที่เติมเต็มอย่างสมบูรณ์ พวกเขาต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์ในชีวิต ความชั่ว, ความโลภ, ความเห็นแก่ตัวกลายเป็นสังคมมนุษย์เริ่มมีการพัฒนา ในขณะที่คนสร้างสถาบันทางสังคมที่เกิดขึ้นพวกเขาพัฒนาสิ่งที่ไม่ดี ในสถาบันดังกล่าวเป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่สนับสนุนความโลภและความเห็นแก่ตัว รุสโซ่มองว่าทรัพย์สินส่วนตัวเป็นสถาบันการทำลายล้าง,กระตุ้นกิเลส, และสถาปนาอัตวิสัย ที่มีความโลภและความยินดีที่ได้รับรางวัล ภาคประชาสังคมจึงเกิดเมื่อคนเริ่มจะกั้นรั้วทรัพย์สินของพวกเขาอ้างว่ามันเป็นของพวกเขาและพบว่าคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับพวกเขา
เป็นสิ่งเลวร้ายเนื่องจากการทุจริตของสาระสำคัญในอารยธรรมของมนุษย์ สำหรับรุสโซ่มองว่า ภาคประชาสังคมที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของรัฐที่ดีโดยธรรมชาติ ปัญหาของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะของภาคประชาสังคม เขาเชื่อว่ารัฐโดยธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีความไม่มั่นคงภายใน ตัวอย่างเช่นความสามารถของคนเราไม่ได้ถูกกระจายอย่างเท่าเทียมกันในหมู่คน, ความสมดุลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติถูกรบกวนและมีความไม่เท่าเทียมกันก่อให้ เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน คนที่มีความสามารถและอัจฉริยะเกี่ยวกับความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี, พาณิชย์,เพราะว่าคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์โดยธรรมชาติ,บางคนไม่สามารถยกย่องให้มีความสามารถหรือตำหนิสำหรับการที่ไม่มีความสามารถ รุสโซ่ได้เห็นความสามารถได้อย่างเป็นธรรมชาติที่นำไปสู่ความสำเร็จ ความไม่เท่าเทียมกันนำไปสู่การพัฒนาที่บางคนผลิตมากขึ้นและเพื่อหารายได้มากขึ้น เขาล้มเหลวที่จะยอมรับความสำคัญของแรงจูงใจ,อุตสาหกรรมและการใช้เจตน์จำนงของคน คนหนึ่งที่ใช้เหตุผลกับคนหนึ่งกับความมีศักยภาพของคนอื่น ๆ
มุมมองของนักสิ่งแวดล้อมของปัจจุบันสามารถย้อนกลับไปสู่ทัศนะของรุสโซ่ที่เชื่อ ว่าคนจำนวนมากเบี่ยงเบนจากสภาวะของธรรมชาติ ความเลวร้ายที่ยังคงมีเป็นการกระตุ้นความเชื่อที่ว่ามาพวกเขาจะปลุกเร้าความเชื่อที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งหมดอยู่ในน้ำมือของมนุษย์ รุสโซ่ สอนว่าคนเราจะเป็นอิสระ, ฉลาดและดีในสภาพของธรรมชาติและสัญชาตญาณและอารมณ์เมื่อไม่บิดเบือนโดย ข้อ จำกัดธรรมชาติของอารยธรรมที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั่นคือเสียงธรรมชาติ และคำแนะนำที่ดีแก่ชีวิต ดังนั้น"ความป่าเถื่อนตามทัศนะของรุสโซ่"หมายถึงจุดยืนที่อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมของมนุษย์เรา
มนุษย์เราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปและเริ่มที่จะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน บุคคลเริ่มเกิดมีความสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่และพวกเขาต้องการมัน ผู้ซื้อและผู้ขายจะอาศัยซึ่งกันและกันแต่ะการพึ่งพากันนั้นไม่ใช่เป็นความเท่าเทียมกันเนื่องจากการดำรงอยู่ของปิรามิดของความสามารถ รุสโซ่ เชื่อว่าจากผลดังกล่าว ทำให้คนมีความสามารถซื้อทรัพย์สินและกลายเป็นความทะเยอทะยาน ทั้ง หมดรวมถึงผู้ที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกลายเป็นแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กัน, อิจฉา, กำลังกระหายศอำนาจ, การแสวงหาอภิสิทธิ์ และการปรารถนาความเป็นใหญ่เหนือผู้อื่น ภาคประชาสังคมเปลี่ยนคนจากสิ่งมีชีวิตที่แยกตัวโดดเดี่ยวที่มีความต้องการที่จำกัดนำไปสู่การชอบสงครามของรัฐ Hobbesian ของธรรมชาติ สำหรับรุสโซ่คำว่าภาคประชาสังคมเป็นรัฐแห่งภาวะสงคราม
รุสโซ่ สนับสนุนให้ไม่ได้มีสิทธิเพิ่มขึ้นเหนือการดำรงชีพโดยปราศจากความยินยอมของทุกคน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ภาคประชาสังคมที่พัฒนาแล้ว แต่คำอนุญาตไม่ได้ถูกกำหนดสำหรับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง เขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของการทั้งหมดโดยไม่ต้องมีการร้องขอ รุสโซ่ ทุกข์ทรมานใจที่บางคนกลายเป็นที่ค่อนข้างยากจนโดยไม่มีอะไรจะสูญเสีย ไม่เพียงแต่จะทำร้ายความรู้สึกเท่านั้น แต่สิทธิของพวกเขาจะถูกริดรอนทำให้ถูกล่วงละเมิดได้ ความยากจน, ความอ่อนแอและเจ็บปวดไม่ต้องการที่จะเปลี่ยน แต่สิ่งรอบ ๆ พวกเขาเปลี่ยนไปได้บังคับให้พวกเขาต้องขโมยจากคนรวย
สรุปรุสโซ่ มองว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดี แต่มนุษย์ทำลายธรรมชาติกันเอง และกลโกง ทำให้มนุษย์ทำตัวผิดแปลกจากธรรมชาติ เหมือนพระเจ้าสร้างให้คนเป็นคนดี แต่คนกลับทำลายกันเอง การที่มนุษย์เรามีชนชั้นทำให้เกิดการดูถูกกัน ซึ่งก็ผิดธรรมชาติ เพราะมนุษย์เรามีความเสมอภาคกัน การสร้างอารยธรรมผิด ๆ เท่ากับหลอกมนุษย์ให้เราหลงเชื่อในทางผิด ๆ และทำให้มนุษย์ทำตัวผิดธรรมชาติช่นกฎหมายที่ชนชั้นหนึ่งเขียนขึ้นมาทำลาย อีกชนชั้นหนึ่ง เท่ากับว่ามนุษย์ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ, ทำลายความเสมอภาคและโอกาสของมนุษย์ เป็นการดูถูกเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ นั่นก็คือมนุษย์ปฏิบัติตัวไม่เป็นธรรมชาติดังนั้น มิใช่เขาเป็นคนผิด แต่เขาหลงผิดจากความจริงของมนุษย์ หรือสัจธรรมนุษย์ ทำให้มนุษย์ทำลายกันเองการเอาเปรียบ,กดขี่เพื่อนมนุษย์ การริดรอนเสรีภาพมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทำตัวไม่ดี และไม่เป็นธรรมชาติทีแท้จริง เขาหลอกตัวเองว่ายิ่งใหญ่ มีคุณธรรมเหนือกว่าคนอื่น ทำให้มนุษย์มีการแบ่งชั้น และเหยียดหยามกัน
สรุป มนุษย์เอนเอียงเพราะผลประโยชน์ของตนเอง และยินยอมทำตัวให้ผิดธรรมชาติ และหลอกลวงมนุษย์กันเอง ทำให้สังคมถูกทำลายและขาดความกรุณาปรานีต่อกัน และยอมรับว่ามนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วเสมอภาคกัน แต่คนเรามาสร้างให้มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันตามที่ธรรมชาติมนุษย์ควรถูกสร้างมา เป็นการอำพรางและการใส่หน้ากาก หรือมายาคติที่หนีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
ตามหลักการของรุสโซ่ (Rousseau) โดยสภาพธรรมชาติที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแยกตัวโดดเดี่ยวไม่ชอบทำสงครามและความปรารถนาของพวกเขามีน้อยและถูกจำกัดขีดวงเช่น (ความต้องการอยู่รอดขั้นพื้นฐานของพวกเขา) คนไม่ได้มีแรงขับที่จะครอบครองทรัพย์สมบัติมากขึ้น มี คนมากมายทั่วไปที่ขาดจากการพึ่งพิงคนอื่นๆและไม่ใช่ความจำเป็นอย่างแท้จริง ในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามคนยังมีความไม่เห็นอกเห็นใจและความเมตตาที่สนองต่อผู้อื่นโดยไม่มีการแบ่งแยกและไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของระบบคุณธรรม
ในธรรมชาติของรัฐนั้นไม่มีการเห็นแก่ตัวเองและมีการแสดงถึงความเมตตา รุสโซ่มองอย่างเมตตาธรรมสำหรับการที่ไม่สมควรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ มนุษย์โดยทั่วไปจะแสดงตนว่าเป็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณธรรมเหนือมนุษย์ เขาถือว่าเป็นการดูถูกผู้อื่นซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายความรู้สึกว่าเป็นรองผู้อื่นและเป็นที่เลวร้ายเสมอ รุสโซ่ต้องการความรู้สึกของคนไม่มีความเจ็บปวด รู้สึกว่าสังคมที่ดีควรเป็นสังคมที่ไม่มีการตำหนิ, การวิจารณ์การตัดสินการเปรียบเทียบกับคนอื่นและแตกต่างของการคุณค่าในมนุษย์ เขากล่าวว่ามันเป็นสิ่งผิดพลาด หากเราตระหนักถึงความแตกต่างเพราะทำให้คนไม่เท่าเทียมกัน มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่งที่จะถูกสบประมาทมากกว่าที่จะได้รับบาดเจ็บ เจตน์จำนงที่ดีของรุสโซ่คือบุคคลที่ตั้งใจที่ดีมากกว่าการมีความสำเร็จหรือลักษณะภายนอกของเขา รุสโซ่ชี้ชัดว่ามนุษย์มีความดีโดยธรรมชาติและเชื่อว่ามีความดีเท่ากับคนอื่น ๆ เช่นกัน สำหรับ รุสโซ่แล้วมนุษย์คนหนึ่งอาจเป็นเพียงแค่ไม่มีคุณธรรมและความดีโดยไม่มีความพยายาม ตามทัศนะของรุสโซ่คนในรัฐของธรรมชาติมีอิสระ,ฉลาดและเป็นคนดีและกฎของธรรมชาติก็เอื้อประโยชน์เช่นนั้นด้วย มันเป็นอารยธรรมที่ทำให้เกิดทาสและมนุษย์ที่คดโกงและทำให้เขาไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะ โดยกฎของธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน แต่มนุษย์พยายามสร้างความแตกต่างกันในหมู่มนุษย์กันเอง
การทุจริตโดยอารยธรรม : คือจุดกำเนิดของความไม่เท่าเทียมกัน
ปัญหาพื้นฐานสำหรับรุสโซ่คือไม่ใช่เป็นธรรมชาติหรือที่มนุษย์แต่เป็นสถาบันทางสังคม ในทัศนะของรุสโซ่กล่าวว่าสังคมเอาเปรียบคนที่บริสุทธิ์ โดยทัศนะวามนุษย์ไม่มีข้อจำกัดโดยธรรมชาติของมนุษย์ รุสโซ่อ้างว่ามนุษย์ถูกจำกัด และกลโกงจากการจัดการทางสังคม การคิดเกี่ยวกับอิสรภาพจึงเป็นสิ่งสมบูรณ์ รุสโซ่ไม่ได้ประกาศตัวในเรื่องโลกของธรรมชาติและกฎธรรมชาติ,ข้อจำกัดที่ซ่อนเร้น
รุสโซ่ยึดถือว่าเหตุผลที่มีโอกาส แต่ก็ล้มเหลวแสดงถึงการสะท้อนเป็นการขัดกับธรรมชาติ รุสโซ่ยืนยันความดีโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ได้รับถูกกดทับความก้าวหน้าในสิ่งที่เขากระทำและความรู้ที่เขาได้มา เขาได้บรรลุการดำเนินการโจมตียุคของเหตุผลโดยมุ่งเน้นความรู้สึกที่อยู่ตรงกัน ข้ามกับเหตุผลที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเป็นสัจจธรรมและในอนาคต ความคิดของเขาจึงเป็นแนวหน้าของแรงผลักดันในการเคลื่อนไหวของชาวโรมัน
รุสโซ่ได้รับการยกย่องในเรื่องสัญชาตญาณ,อารมณ์,แรงดลใจ,ความรู้สึกและความมีเมตตา เขาเชื่อว่าเหล่านี้ทำให้เกิดทัศนะที่หยั่งลึกเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความจริงมากกว่าเหตุผล รุสโซ่จึงให้น้ำหนังเหตุผลน้อยที่สุดและความแตกต่างในคุณค่าทางศีลธรรมของบุคคล เขาล้มเหลวที่จะตระหนักว่าเสรีภาพจะไร้ความหมายเมื่อขาดเหตุผล เขาไม่ได้หยิบหยกเหตุผลที่เชื่อมโยงที่ขึ้นอยู่กับโลกของค่านิยม
รุสโซ่ตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ชีวิตที่เงียบสงบในรัฐโดยธรรมชาติที่คนยังไม่ได้รับสิ่งที่เติมเต็มอย่างสมบูรณ์ พวกเขาต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์ในชีวิต ความชั่ว, ความโลภ, ความเห็นแก่ตัวกลายเป็นสังคมมนุษย์เริ่มมีการพัฒนา ในขณะที่คนสร้างสถาบันทางสังคมที่เกิดขึ้นพวกเขาพัฒนาสิ่งที่ไม่ดี ในสถาบันดังกล่าวเป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่สนับสนุนความโลภและความเห็นแก่ตัว รุสโซ่มองว่าทรัพย์สินส่วนตัวเป็นสถาบันการทำลายล้าง,กระตุ้นกิเลส, และสถาปนาอัตวิสัย ที่มีความโลภและความยินดีที่ได้รับรางวัล ภาคประชาสังคมจึงเกิดเมื่อคนเริ่มจะกั้นรั้วทรัพย์สินของพวกเขาอ้างว่ามันเป็นของพวกเขาและพบว่าคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับพวกเขา
เป็นสิ่งเลวร้ายเนื่องจากการทุจริตของสาระสำคัญในอารยธรรมของมนุษย์ สำหรับรุสโซ่มองว่า ภาคประชาสังคมที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของรัฐที่ดีโดยธรรมชาติ ปัญหาของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะของภาคประชาสังคม เขาเชื่อว่ารัฐโดยธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีความไม่มั่นคงภายใน ตัวอย่างเช่นความสามารถของคนเราไม่ได้ถูกกระจายอย่างเท่าเทียมกันในหมู่คน, ความสมดุลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติถูกรบกวนและมีความไม่เท่าเทียมกันก่อให้ เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน คนที่มีความสามารถและอัจฉริยะเกี่ยวกับความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี, พาณิชย์,เพราะว่าคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์โดยธรรมชาติ,บางคนไม่สามารถยกย่องให้มีความสามารถหรือตำหนิสำหรับการที่ไม่มีความสามารถ รุสโซ่ได้เห็นความสามารถได้อย่างเป็นธรรมชาติที่นำไปสู่ความสำเร็จ ความไม่เท่าเทียมกันนำไปสู่การพัฒนาที่บางคนผลิตมากขึ้นและเพื่อหารายได้มากขึ้น เขาล้มเหลวที่จะยอมรับความสำคัญของแรงจูงใจ,อุตสาหกรรมและการใช้เจตน์จำนงของคน คนหนึ่งที่ใช้เหตุผลกับคนหนึ่งกับความมีศักยภาพของคนอื่น ๆ
มุมมองของนักสิ่งแวดล้อมของปัจจุบันสามารถย้อนกลับไปสู่ทัศนะของรุสโซ่ที่เชื่อ ว่าคนจำนวนมากเบี่ยงเบนจากสภาวะของธรรมชาติ ความเลวร้ายที่ยังคงมีเป็นการกระตุ้นความเชื่อที่ว่ามาพวกเขาจะปลุกเร้าความเชื่อที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งหมดอยู่ในน้ำมือของมนุษย์ รุสโซ่ สอนว่าคนเราจะเป็นอิสระ, ฉลาดและดีในสภาพของธรรมชาติและสัญชาตญาณและอารมณ์เมื่อไม่บิดเบือนโดย ข้อ จำกัดธรรมชาติของอารยธรรมที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั่นคือเสียงธรรมชาติ และคำแนะนำที่ดีแก่ชีวิต ดังนั้น"ความป่าเถื่อนตามทัศนะของรุสโซ่"หมายถึงจุดยืนที่อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมของมนุษย์เรา
มนุษย์เราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปและเริ่มที่จะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน บุคคลเริ่มเกิดมีความสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่และพวกเขาต้องการมัน ผู้ซื้อและผู้ขายจะอาศัยซึ่งกันและกันแต่ะการพึ่งพากันนั้นไม่ใช่เป็นความเท่าเทียมกันเนื่องจากการดำรงอยู่ของปิรามิดของความสามารถ รุสโซ่ เชื่อว่าจากผลดังกล่าว ทำให้คนมีความสามารถซื้อทรัพย์สินและกลายเป็นความทะเยอทะยาน ทั้ง หมดรวมถึงผู้ที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกลายเป็นแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กัน, อิจฉา, กำลังกระหายศอำนาจ, การแสวงหาอภิสิทธิ์ และการปรารถนาความเป็นใหญ่เหนือผู้อื่น ภาคประชาสังคมเปลี่ยนคนจากสิ่งมีชีวิตที่แยกตัวโดดเดี่ยวที่มีความต้องการที่จำกัดนำไปสู่การชอบสงครามของรัฐ Hobbesian ของธรรมชาติ สำหรับรุสโซ่คำว่าภาคประชาสังคมเป็นรัฐแห่งภาวะสงคราม
รุสโซ่ สนับสนุนให้ไม่ได้มีสิทธิเพิ่มขึ้นเหนือการดำรงชีพโดยปราศจากความยินยอมของทุกคน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ภาคประชาสังคมที่พัฒนาแล้ว แต่คำอนุญาตไม่ได้ถูกกำหนดสำหรับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง เขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของการทั้งหมดโดยไม่ต้องมีการร้องขอ รุสโซ่ ทุกข์ทรมานใจที่บางคนกลายเป็นที่ค่อนข้างยากจนโดยไม่มีอะไรจะสูญเสีย ไม่เพียงแต่จะทำร้ายความรู้สึกเท่านั้น แต่สิทธิของพวกเขาจะถูกริดรอนทำให้ถูกล่วงละเมิดได้ ความยากจน, ความอ่อนแอและเจ็บปวดไม่ต้องการที่จะเปลี่ยน แต่สิ่งรอบ ๆ พวกเขาเปลี่ยนไปได้บังคับให้พวกเขาต้องขโมยจากคนรวย
สรุปรุสโซ่ มองว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดี แต่มนุษย์ทำลายธรรมชาติกันเอง และกลโกง ทำให้มนุษย์ทำตัวผิดแปลกจากธรรมชาติ เหมือนพระเจ้าสร้างให้คนเป็นคนดี แต่คนกลับทำลายกันเอง การที่มนุษย์เรามีชนชั้นทำให้เกิดการดูถูกกัน ซึ่งก็ผิดธรรมชาติ เพราะมนุษย์เรามีความเสมอภาคกัน การสร้างอารยธรรมผิด ๆ เท่ากับหลอกมนุษย์ให้เราหลงเชื่อในทางผิด ๆ และทำให้มนุษย์ทำตัวผิดธรรมชาติช่นกฎหมายที่ชนชั้นหนึ่งเขียนขึ้นมาทำลาย อีกชนชั้นหนึ่ง เท่ากับว่ามนุษย์ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ, ทำลายความเสมอภาคและโอกาสของมนุษย์ เป็นการดูถูกเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ นั่นก็คือมนุษย์ปฏิบัติตัวไม่เป็นธรรมชาติดังนั้น มิใช่เขาเป็นคนผิด แต่เขาหลงผิดจากความจริงของมนุษย์ หรือสัจธรรมนุษย์ ทำให้มนุษย์ทำลายกันเองการเอาเปรียบ,กดขี่เพื่อนมนุษย์ การริดรอนเสรีภาพมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทำตัวไม่ดี และไม่เป็นธรรมชาติทีแท้จริง เขาหลอกตัวเองว่ายิ่งใหญ่ มีคุณธรรมเหนือกว่าคนอื่น ทำให้มนุษย์มีการแบ่งชั้น และเหยียดหยามกัน
สรุป มนุษย์เอนเอียงเพราะผลประโยชน์ของตนเอง และยินยอมทำตัวให้ผิดธรรมชาติ และหลอกลวงมนุษย์กันเอง ทำให้สังคมถูกทำลายและขาดความกรุณาปรานีต่อกัน และยอมรับว่ามนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วเสมอภาคกัน แต่คนเรามาสร้างให้มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันตามที่ธรรมชาติมนุษย์ควรถูกสร้างมา เป็นการอำพรางและการใส่หน้ากาก หรือมายาคติที่หนีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น