ความกล้าหาญเชิงจริยธรรม

      ความกล้าหาญเชิงจริยธรรมหมายถึงความกล้าหาญในการพูดความจริงและกล้าเผชิญกับภยันตรายโดยปราศจากการใส่ใจว่าจะเกิดผลอะไรเกิดขึ้น  มันหมายถึงความพร้อมในการเผชิญหน้ากับสิ่งยุ่งยากอย่างใหญ่หลวงเพื่อที่จะแสวงหาความจริงและความซื่อสัตย์    ความกล้าหาญเชิงจริยธรรมแสดงถึงลักษณะของบุคคลนั้นว่ามีความเข้มแข็งอย่างไร  เป็นการยากมากที่จะแสดงถึงความกล้าหาญเชิงจริยธรรมมากกว่าแสดงความกล้าหาญทางกายภาพ  ความกล้าหาญเชิงจริยธรรมอาจหมายถึงการยอมรับจุดอ่อนหรือความผิดพลาดก่อนผู้อื่น   มันอาจจะหมายถึงการพูดในสิ่งที่ถูกต้องหรือแม้แต่เมื่อคนอื่น ๆไม่ชอบมัน  ความกล้าหาญทางกายภาพหมายถึงการแสดงถึงความเข้มแข็งทางร่ายกาย    ความกล้าหาญเชิงจริยธรรมขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือความคิดอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยว  รัฐบุรุษหรือนักการเมืองมักมีความกล้าหาญเชิงจริยธรรม
 
         แต่ในสังคมศรีธนญชัยแล้ว จะปราศจากความกล้าหาญเชิงจริยธรรมเป็นส่วนมากมีลักษณะของการเอาตัวรอด เช่นคำว่าพูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง, รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี, รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง, หรือเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม   และในสังคมแบบอำนาจนิยมที่อยู่ในฐานะต่ำกว่าก็จะมีลักษณะเช่น เป็นผู้น้อยคอยก้มประณมกร เติบใหญ่จะได้ดี, เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ฯลฯ   ในสังคมของคนใส่หน้ากากกันก็มักจะมีค่านิยม “ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ”, ต่อหน้ามะพลับ หลับหลังตะโก    และในสังคมอุปถัมภ์ที่คนหวังเจริญหน้าในทางราชการก็มักเป็น “ลินเตีย สินสอพลอ ล่อไข่แดง แรงวิชา ถลามาเอง หรือลิ้นกระดาษทราย น้ำลายชะแล็ค  และในสังคมของคนเห็นแก่ตัวก็มักเป็น “ตัวใครตัวมัน “  หรือ “บ้านใครอยู่ อู่ใครนอน”  ในสังคมของคนคอรัปชั่นก็มักพูดว่า “คอรัปชั่นเรื่องธรรมดา ที่ใหน ๆ ก็ทำกัน” หรือคำว่า “เลี้ยงช้างกินขี้ช้าง”  
         ในสังคมของเผด็จการก็มักจะพูดว่า “เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองประชาชนไม่เกี่ยว” หรือ นักการเมืองเลวทุกคน (ความดีของมนุษย์สิ้นสุดลงเมื่อเข้าสู่สนามการเมือง) เป็นการมองการเมืองในแง่ร้าย ซึ่งจริง ๆ แล้วนักการเมืองที่ดีก็มีถมไปแต่นักเผด็จการจะเหมาทั้งหมด และบอกว่าตัวเองดีกว่านักการเมือง  แต่จริง ๆ แล้วผู้ไม่ได้ทำหน้าที่ทางการเมืองก็เล่นการเมืองนอกระบบได้เช่นกัน   นักประชาธิปไตยจะมองโลก และสิ่งแวดล้อมในทางที่ดี ส่วนนักเผด็จการไม่ไว้วางใจเพื่อนมนุษย์และสิ่งแวดล้อม จึงทำให้เขาติดยึดอำนาจ และหลงอำนาจเป็นส่วนใหญ่  และบางครั้งก็ใช้ความรุนแรงกับคนอื่นซึ่งอันที่แท้จริงมีความกลัวในจิตใจ จึงต้องใช้กำลังกับผู้อื่น แต่เมื่อเกิดสำนึกแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่สมควรทำไป และมาสำนึกบาปที่หลัง
         “สังคมดีไม่เคยได้มาปล่าว ๆ โดยไม่ลงทุน  สังคมดีเกิดจากความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมอุดมคติเพื่อมวลมนุษยชาติ เข้าทำนองเดียวกับคำว่า “ประชาธิปไตยจักสมปองต้องต่อสู้” นั่นเอง
       

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)