องค์ประกอบของทุนทางปัญญา (The element of intellectual capital)
องค์ประกอบสำคัญของทุนทางปัญญามีอยู่ด้วยกัน 3 ประการได้แก่
1. ทุนมนุษย์ (Human Capital) - คือความรู้,ความสามารถ, และสมรรถภาพในการพัฒนาและนวัตกรรมที่ดำเนินการในองค์การใดองค์การหนึ่ง
2. ทุนทางสังคม (Social Capital) - คือโครงสร้าง,เครือข่าย,และกรรมวิธีที่ทำให้บุคคลสามารถเข้าถึงและพัฒนาทุนทางปัญญาซึ่งแสดงโดยคลังความรู้และสายธารของความรู้ที่ได้รับมาจากความสัมพันธ์ภายในและภายนอกองค์การ
3. ทุนขององค์การ (Organizational capital) - คือความรู้ในเชิงสถาบันที่เป็นกรรมวิธีจากองค์การใดองค์การหนึ่งกล่าวคือมีการจัดเก็บความรู้ในฐานข้อมูล,คู่มือต่าง ๆเป็นต้น (Youndt,2000) มักเรียกกันว่าเป็นทุนเชิงโครงสร้าง (Structured capital) (Edwinson and Malone,1997) แต่คำว่าทุนองค์การได้รับชื่นชอบโดยยอห์นเพราะว่าเขามีทัศนะว่ามันจะช่วยชักนำให้มีความกระจ่างมากขึ้นกล่าวคือเป็นความรู้ที่องค์การมีความเป็นของตนเองอย่างแท้จริง
ความสำคัญของทุนทางปัญญา
แนวคิดเชิงไตรลักษณ์ของทุนทางปัญญา คล้าย ๆกับของพุทธศาสนาคือ ศีล,สมาธิ,ปัญญา ซึ่งระบุว่าในขณะที่บุคคลมีการสร้าง,รักษา,และใช้ความรู้ (ทุนมนุษย์) ความรู้จะกลั่นกรองได้เป็นอย่างดีจากบุคคลทั้งหลายที่ร่วมกัน (ทุนทางสังคม) เพื่อสร้างให้เป็นความรู้ที่เป็นเชิงสถาบันซึ่งกระทำโดยองค์การ (ทุนองค์การ)
ในด้านศาสนาพุทธ คือศิลคือข้อห้ามที่จะต้องปฏิบัติ, รักษา,และใช้ให้ถูกต้องตามหลักการถือศีล เมื่อปฏิบัติตามศีลแล้วจึงจะเกิดพลังของสมาธิที่เกิดจากความสงบทางจิตใจและความปิติจากการปฏิบัติหรือการถือศีล และนำไปสู่ให้เกิดตัวปัญญาของบุคคลคนนั้น หากเป็นไปในรูปองค์การก็จะเป็นองค์การอัจฉริยะ
ตามที่แชทสเกล (Chatzkel ,2004) แสดงทัศนะที่ว่า "ความเป็นจริงองค์การไม่มีอะไรมากไปกว่าการขยายขอบเขตความคิดของมนุษย์และการกระทำ นั่นก็คือความรู้,ทักษะ, และความสามารถของบุคคลที่ส่งเสริมคุณค่าและมุ่งเน้นไปยังปัจจัยดึงดูด,รักษา,พัฒนา,บำรุงรักษา,ทุนมนุษย์ที่พวกเขาแสดงความรู้ให้ประจักษ์ ความรู้ของบุคคลจะรักษาและนำไปใช้โดยผ่านกระบวนการจัดการความรู้ แต่สิ่งสำคัญที่เท่าเทียมกันในการเอาใจใส่การพิจารณาทุนทางสังคมนั่นก็คือวิถีทางที่ความรู้ได้รับการพัฒนาโดยผ่านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทัศนะดังกล่าวนี้มาจากบอนติส (Bontis et al,1999) ซึ่งเป็นกระแสสายธารคล้ายกับคลังที่เก็บสาระสำคัญ ทุนทางปัญญาพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นส่วนสำคัญที่นำมาแสดงออกของกระบวนการดังกล่าวโดยการกระทำของบุคคลร่วมกัน
ประสิทธิผลที่ดีขององค์การขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ความรู้นี้ไปอย่างดีซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนา จัดเก็บ,และแลกเปลี่ยน (การจัดการความรู้) เพื่อส่งเสริมทุนขององค์การ ในการปฏิบัติเช่นนี้ก็ควรไม่ลืมในสิ่งที่ระบุโดย Daft & Weick (1984) หรือผู้ทำให้มีสีสันอย่างมากโดย Fitz-enj (2000) กล่าวว่า "ทุนมนุษย์ (ความรู้) ยังอยู่เบื้องหลังเมื่อพนักงานลาออกไป, ทุนมนุษย์จึงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บุคลากรเกิดขึ้นแม้แต่กลับบ้านตอนกลางคืน
สรุปจินตภาพของมนุษย์ที่เกิดจากการสะสมความรู้, ทุนทางสังคมก่อให้เกิดประสบการณ์และทุนทางปัญญาจากการบูรนาการโดยผ่านการใช้สมอง ก่อให้เกิดจินตภาพในการสร้างวิสัยทัศน์ อันเป็นพลังขับเคลื่อนจากจิตวิญญาณของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหารสูงสุด หรือระดับรองจำเป็นต้องมีอยู่ตลอดเวลา และจำเป็นต้องใช้สมองจนเกิดความเชี่ยวชาญ, ช่ำชองในกลยุทธ์เพื่อนำไปปัญญาแปลงไปสู่แผน และนำไปสู่ความรุ้ร่วมกันในองค์การและนำไปใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
1. ทุนมนุษย์ (Human Capital) - คือความรู้,ความสามารถ, และสมรรถภาพในการพัฒนาและนวัตกรรมที่ดำเนินการในองค์การใดองค์การหนึ่ง
2. ทุนทางสังคม (Social Capital) - คือโครงสร้าง,เครือข่าย,และกรรมวิธีที่ทำให้บุคคลสามารถเข้าถึงและพัฒนาทุนทางปัญญาซึ่งแสดงโดยคลังความรู้และสายธารของความรู้ที่ได้รับมาจากความสัมพันธ์ภายในและภายนอกองค์การ
3. ทุนขององค์การ (Organizational capital) - คือความรู้ในเชิงสถาบันที่เป็นกรรมวิธีจากองค์การใดองค์การหนึ่งกล่าวคือมีการจัดเก็บความรู้ในฐานข้อมูล,คู่มือต่าง ๆเป็นต้น (Youndt,2000) มักเรียกกันว่าเป็นทุนเชิงโครงสร้าง (Structured capital) (Edwinson and Malone,1997) แต่คำว่าทุนองค์การได้รับชื่นชอบโดยยอห์นเพราะว่าเขามีทัศนะว่ามันจะช่วยชักนำให้มีความกระจ่างมากขึ้นกล่าวคือเป็นความรู้ที่องค์การมีความเป็นของตนเองอย่างแท้จริง
ความสำคัญของทุนทางปัญญา
แนวคิดเชิงไตรลักษณ์ของทุนทางปัญญา คล้าย ๆกับของพุทธศาสนาคือ ศีล,สมาธิ,ปัญญา ซึ่งระบุว่าในขณะที่บุคคลมีการสร้าง,รักษา,และใช้ความรู้ (ทุนมนุษย์) ความรู้จะกลั่นกรองได้เป็นอย่างดีจากบุคคลทั้งหลายที่ร่วมกัน (ทุนทางสังคม) เพื่อสร้างให้เป็นความรู้ที่เป็นเชิงสถาบันซึ่งกระทำโดยองค์การ (ทุนองค์การ)
ในด้านศาสนาพุทธ คือศิลคือข้อห้ามที่จะต้องปฏิบัติ, รักษา,และใช้ให้ถูกต้องตามหลักการถือศีล เมื่อปฏิบัติตามศีลแล้วจึงจะเกิดพลังของสมาธิที่เกิดจากความสงบทางจิตใจและความปิติจากการปฏิบัติหรือการถือศีล และนำไปสู่ให้เกิดตัวปัญญาของบุคคลคนนั้น หากเป็นไปในรูปองค์การก็จะเป็นองค์การอัจฉริยะ
ตามที่แชทสเกล (Chatzkel ,2004) แสดงทัศนะที่ว่า "ความเป็นจริงองค์การไม่มีอะไรมากไปกว่าการขยายขอบเขตความคิดของมนุษย์และการกระทำ นั่นก็คือความรู้,ทักษะ, และความสามารถของบุคคลที่ส่งเสริมคุณค่าและมุ่งเน้นไปยังปัจจัยดึงดูด,รักษา,พัฒนา,บำรุงรักษา,ทุนมนุษย์ที่พวกเขาแสดงความรู้ให้ประจักษ์ ความรู้ของบุคคลจะรักษาและนำไปใช้โดยผ่านกระบวนการจัดการความรู้ แต่สิ่งสำคัญที่เท่าเทียมกันในการเอาใจใส่การพิจารณาทุนทางสังคมนั่นก็คือวิถีทางที่ความรู้ได้รับการพัฒนาโดยผ่านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทัศนะดังกล่าวนี้มาจากบอนติส (Bontis et al,1999) ซึ่งเป็นกระแสสายธารคล้ายกับคลังที่เก็บสาระสำคัญ ทุนทางปัญญาพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นส่วนสำคัญที่นำมาแสดงออกของกระบวนการดังกล่าวโดยการกระทำของบุคคลร่วมกัน
ประสิทธิผลที่ดีขององค์การขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ความรู้นี้ไปอย่างดีซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนา จัดเก็บ,และแลกเปลี่ยน (การจัดการความรู้) เพื่อส่งเสริมทุนขององค์การ ในการปฏิบัติเช่นนี้ก็ควรไม่ลืมในสิ่งที่ระบุโดย Daft & Weick (1984) หรือผู้ทำให้มีสีสันอย่างมากโดย Fitz-enj (2000) กล่าวว่า "ทุนมนุษย์ (ความรู้) ยังอยู่เบื้องหลังเมื่อพนักงานลาออกไป, ทุนมนุษย์จึงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บุคลากรเกิดขึ้นแม้แต่กลับบ้านตอนกลางคืน
สรุปจินตภาพของมนุษย์ที่เกิดจากการสะสมความรู้, ทุนทางสังคมก่อให้เกิดประสบการณ์และทุนทางปัญญาจากการบูรนาการโดยผ่านการใช้สมอง ก่อให้เกิดจินตภาพในการสร้างวิสัยทัศน์ อันเป็นพลังขับเคลื่อนจากจิตวิญญาณของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหารสูงสุด หรือระดับรองจำเป็นต้องมีอยู่ตลอดเวลา และจำเป็นต้องใช้สมองจนเกิดความเชี่ยวชาญ, ช่ำชองในกลยุทธ์เพื่อนำไปปัญญาแปลงไปสู่แผน และนำไปสู่ความรุ้ร่วมกันในองค์การและนำไปใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น