แนวทางการเขียนผลงานเอกสารงานวิจัยทางสายรัฐศาสตร์


การเขียนผลงานเอกสารทางรัฐศาสตร์: หลายแนวทางการเขียนที่เป็นประโยชน์

ปีเตอร์ ไลเบอร์แมน,   ภาควิชารัฐศาสตร์, ควีนส์คอลเลจ  ตุลาคม 2006

         ผลงานเกี่ยวกับรายงานเอกสารที่ดีเป็นการสรรหาข่าวสารและการชี้ชวน  ; การทำเช่นนี้จะต้องมีการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นตรรกะ, แสดงถึงทัศนะอย่างชัดเจนและมีการจัดเตรียมเอกสารอย่างดี การเขียนที่ดีเป็นงานหนัก แต่ตามกฎของหัวแม่มือที่จะช่วยให้คุณเขียนเอกสารที่ดีขึ้นและจะทำให้การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เนื้อหาสาระของงานเขียน (Substance)

1 เอกสารเกือบทั้งหมดในสาขาวิชารัฐศาสตร์เกี่ยวข้องมักจะเีกี่ยวกับข้อถกเถียง  มันไม่จำเป็นต้องเป็นข้อถกเถียงที่ลึกซึ้งมากหรือทั้งหมดหรือไม่มีข้อถกเถียงอะไรเลย   คุณควรจะแก้ไขคำพูดด้วยการขีดเส้นใต้ในสิ่งที่คุณคิดว่าเหมาะสม  เพื่อทำให้แน่ใจว่าการยืนยันและการสนับสนุนสำหรับเนื้อหาสาระมีความชัดเจนในใจของคุณเองและเป็นการเีรียบเรียงคำพูดอย่างชัดเจนให้ผู้อ่าน คุณต้องให้หลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงและมีเหตุผลเชิงตรรกะสำหรับการเรียกร้องของคุณมากกว่าแค่การให้แสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นของคุณหรือของใครก็แล้วแต่   จงอธิบายเหตุผลว่าทำไมหลักฐานและเหตุผลที่คุณนำเสนอเพื่อสนับสนุนวิทยานิพนธ์ของคุณ  และการทำเช่นนี้เพื่อการยืนยันที่รองลงมาของคุณได้เป็นอย่างดี

2. หากเอกสารรายงานนี้เป็นการสมมติในการตอบคำถามที่ได้รับมอบหมาย  แม้ ว่าคุณจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคำตอบมันเป็นการดีที่จะยืนยันว่าข้อมูลที่มีอยู่มีน้อยเกินไปเกินไปหรือขัดแย้งเกินไปที่จะแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่จะหลบหลีกคำถามทั้งหมด  สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวกับทุกคำถามทางรัฐศาสตร์  แม้แต่ในขณะที่คนที่ชาญฉลาดที่แจ้งข่าวสารให้กับบคุคลที่ไม่เห็นด้วย  ผู้อ่านต้องมุ่งเน้นคำถามในมือเพื่อที่จะโต้แย้งไว้ล่วงหน้า

3. เผยแพร่ข้อโต้แย้งและตัวอย่างร่วมกัน  จงใส่ใจกับผู้อ่านที่ลังเลสงสัยและถามตัวคุณเองว่าผู้อ่านอาจจะคัดค้านกับข้อถกเถียงและประจักษ์พยานของคุณเอง  หากข้อคัดค้านเหล่นี้สามารถปฏิเสธได้ จงเขียนเช่นนี้ หรือมิฉะนั้นกำหนดตำแหน่งดังตัวอย่างว่า (หาก X มักเป็นจริงแล้ว หรือ X มีความจริงมากกว่า Y) 


4 แสดงหลักฐานและตรรกะที่จะสนับสนุนข้อโต้แย้งของคุณ "ข้อโต้แย้งจากผู้มีอำนาจ" "การโต้แย้งจากผู้มีอำนาจ" คือการอ้างว่าสิ่งที่เป็นความจริงเพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่กล่าวไว้เช่นนั้น  ความแปรผันนี้ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคุณเองที่ไม่ไ้ด้มีการป้องกัน: "X เป็นจริงเพราะผมเชื่อว่า X. " เรารู้ได้อย่างไรว่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ถูกต้องหรือถ้าความคิดของคุณมีการค้นพบมาเป็นอย่างดี  หลายครั้งเราต้องพึ่งพาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ลึกลับ แต่มันจะดีกว่าเสมอที่จะให้การสนับสนุนหลักฐานและตรรกะโดยตัวของคุณเอง

5 คุณควรอ้างอิงแหล่งที่มาของความคิด,ข้อโต้แย้งหรือข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเอกสารรายงานที่อ้างอิงอยางเปิดเผย   การอ้างอิงเหล่านี้ควรจะได้แก่แหล่งที่มาที่ไม่สับสนและจำนวนหน้า (หรือเลขที่หน้า) หากคุณไม่สามารถอ้างอิงการค้นพบโดยทั่วไปของหนังสือหรือบทความทั้งหมด   บ่อยครั้งที่การอ้างอิงมีเพียงเรื่องเดียวในตอนท้ายของข้อความก็เพียงพอ   หากมีแหล่งข้อมูลจากข้อความนั้นนำไปใช้อ้างอิงได้แหล่งเดียว   อย่าได้เสียช่องไฟในตัวหนังสือเกี่ยวกับบทความหรือชื่อหนังสือ   การอ้างอิงแหล่งที่มาของคุณแสดงว่า่ผลงานของคุณได้บรรจุงานวิจัยในเอกสารรายงานของคุณ   จงชี้ชัดถึงความคิดจากสิ่งต่าง ๆเหล่านั้น ช่วยให้ผู้อ่านมีทางไปค้นหาแนวคิดที่เกี่ยวกับเฉพาะเรื่องได้มากขึ้น   และทำให้ข้อคิดเห็นโดยให้แหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือแก่คุณ   คุณควรจะอ้างอิงแหล่งที่มาที่คุณพิจารณามาใช้  การอ้างอิงแหล่งที่มาของคุณ ราวกับว่าคุณได้พิจารณาด้วยตัวของคุณเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดและตบตา  หากคุณไม่ได้แจ้งข้อมูลอย่างเปิดเผย ตัวอย่างเช่นแหล่งที่มาของ x แต่แจ้งเป็นแหล่งที่มาเป็น Y, หน้า Z สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับการอ้างอิงต่อไปนี้ ได้แก่เคล็ดลับเกี่ียวกับการรูปแบบและการอภิปรายเกี่ยวกับการคัดลอกผลงานผุ้อื่น  

6 หลีกเลี่ยงการคัดลอกความคิดเหมือนกับการขโมยความคิด นำเสนอความคิดของผู้อื่น หรือภาษาของคนอื่น (ตัวอย่างเช่นการใช้ถ้อยคำที่ต่อเนื่องมากกว่าสองสามคำ) ซึ่งไม่ได้แจ้งที่มาอย่างเหมาะสมซึ่งหมายความว่ามันเป็นผลงานของคุณเอง  ซึ่งเป็นการขโมยและปล้นความคิดทางปัญญา  คุณต้องอ้างอิง หรืออยูในรูปแบบที่ใช้ช่องว่างเว้นระยะเยื้อง ตัวหนังสือใด ๆในแหล่งอื่น และอักขระที่ต้องตามด้วยการอ้างอิงแหล่งที่มา    แน่นอน คุณอาจจะไม่ส่งเอกสารทั้งหมดหรือบางส่วนโดยเพียงบางคนราวกับว่ามันเป็นผลงานของคุณเอง   คุณอาจะต้องไม่ได้กลับมาในเอกสารเพื่อห้องเรียนเดียวที่คุณเขียนเพื่อคนอื่น  หากปราศจากการอนุญาติของผู้บรรยายอย่างเปิดเผยแล้ว   การหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงานดังตัวอย่าง    ดูจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทอร์น "เวบไซต์กลวิธีหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน"  ในภาควิชารัฐศาสตร์ นโยบายคือสิ่งที่นักศึกษาพบว่ามีการคัดลอกผลงานอย่างโจ๊งครึ่มจะสอบตกโดยอัตโนมัติ รายวิชาและกรณีจะถูกอ้างถึงคณะบดีของการศึกษาสของผู้ที่ไม่สำเร็จการศึกษา  ในบางกรณี ผู้นิยมคัดลอกผลงานและรูปแบบอื่น การโกหกจะถูกลงโทษโดยการไล่ออกจากวิทยาลัย ซึ่งเป็นนโยบายของทางวิทยาลัย   

7 จงคาดคะแนว่า
 ผู้อ่านของคุณมีมความรู้ขึ้นพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่เสียพื้นที่โดยการนำเสนอคำจำกัดความขั้นพื้นฐานหรือรายละเอียดพื้นฐานที่ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนการอ้างเหตุผล

การจัดหมวดหมู่ (organization)

8. การจัดหมวดหมู่ทัศนะที่สำคัญตามลำดับเชิงตรรกะ   สิ่งนี้จะทำให้งานเขียนของคุณง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไม่ได้เห็นโครงสร้างทั้งหมดในการยืนยันทัศนะของคุณก่อนที่จะเริ่มต้นเขียน   เอกสารรายงาน 10 หน้าหรือยาวกว่านั้นควรแบ่งออกเป็นหัวเรื่องเป็นตอน ๆ  ซึ่งบอกให้ผู้อ่านถึงสิ่งที่คุณกำลังมุ่งหน้าไป  จงทำให้การแสดงทัศนะความคิดเห็นของคุณง่ายต่อการเข้าใจ  การแสดงถึงทัศนะความเห็นในเรื่องสำคัญ ประการแรกตามด้วยการสนับสนุนหรือสิ่งที่สนับสนุนความคิด   โครงสร้งของการจัดหมวดหมู่เนื้อหารที่ดีจะกำหนดขึ้นและเป็นการปกป้องจุดยืนหลักของคุณ   แล้วในทางกลับกันการอธิบายทางเลือกหรือแสดงทัศนะถกเถียงกัน และเกี่ยวข้องกัน  จงเตรียรมการวางเค้าโครงเพื่อเป็นการช่วยเหลือ  หากคุณเหมือนข้าพเจ้าและคุณสิ้นสุดในการคิดเกี่ยวกับข้อถกเถียงใหม่ ๆ ในกรรมวิธีการเขียน คุณจะต้องหันกลับมาและแก้ไขเอกสารคุณในภายหลังเพื่อให้เป็นโครงสร้างที่มีตรรกะ  มีบ่อยครั้งที่จะวางโครงสร้างในเอกสารของคุณด้วยความคิดสำคัญ ๆ มากกว่าการลำดับของผู้ประพันธ์ หรือแหล่งที่มา หากคุณไม่ถามหาอย่างเฉพาะเจาะจงในการเขียนบทความทบทวนวรรณกรรม  
9. ทุก ๆเอกสารรายงานจะต้องเริ่มต้นด้วยคำนำสรุปที่จะบอกผู้อ่านในเวลาสั้น ๆในสิ่งที่เป็นทัศนะสำคัญ ๆของเอกสารบทความนี้  จงบอกผู้อ่านถึงปัญหาหรือปัญหาหลายอยางที่คุณกำลังเสนอแนะ เหตุผลว่าปัญหาเหล่านั้นทำไมจึงมีความสำคัญ ทำอย่างไรจึงจะหาคำตอบได้ และคำตอบที่กำลังนำมาใช้คืออะไร   ข้าพเจ้ามักเน้นเป็นการต่อรองสุดท้ายเพราะว่ามันคือส่ิงที่มักจะละเลยกันมาก  อย่างได้หยิบยกปัญหาหรือเนื้อหาและละท้ิงผู้อ่านในการเสียเวลากับการสรุปจนกระทั่งสุดท้าย ส่ิงนี้เป็นภาระหนักต่อผู้อ่านในการย่อยและประเมินความคิดเห็นของคุณ  คำนำโดยสรุปมักเป็นการสรุปที่มีรายละเอียด  เพราะว่าคุณไม่สามารถเขียนคำนำสรุปจนกระทั่งคุณคู้ว่าสิ่งที่เอกสารบทความกำลังกล่าวถึง คนส่วนมากประกอบด้วยหลังจากดูเค้าโครง  หรือมิฉะนั้นก็พิจารณาจากตัวเอกสารบทความของมันเองในสิ่งที่เขียนไปแล้ว 

10. บทสรุปที่เป็นประโยชน์เพื่อย้ำเตือนผู้อ่านของประเด็นสำคัญที่ได้รับการแสดงทัศนะมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอกสารที่มียาวมาก   มันมักจะช่วยให้รักษากฎของหัวแม่มือไว้ในใจ "จงบอกว่าคุณกำลังบอกอะไร และบอกมัน บอกมัน  บทสรุปมักจะเป็นตำแหน่งที่ดีในการอธิายถึงนัยสำคัญของการค้นพบ  สำหรับนโยบายรัฐบาล ข้อโต้แย้งทางทฤษฎี หรือผลงานวิจัยในอนาคต 
11 แจ้งเตือนผู้อ่านของคุณไปพร้อมกันกับทัศนะสำคัญของคุณในขณะที่คุณกำลังเขียนถึงมัน มากกว่าจะปล่อยให้ข้อเท็จจริงพูดด้วยตัวของมันเอง จงอธิบายว่าทัศนะความเห็นต่าง ๆ นั้นผลต่อความก้าวหน้าในการพิจารณาเรื่องราวทั้งหมดอย่างไร  มันจะ่ช่วยระบุถึงทัศนะของแต่ละข้อความในประโยคแรก 
12. จงพยายามที่จะยึดติดทัศนะใดทัศนะหนึ่งในแต่ละข้อความ  อย่าเริ่มต้นด้วยทัศนะใหม่ ๆทั้งหมดในกึ่งกลางข้อความ  ส่ิงนี้เป็นหนทางรักษาข้อความให้มีความย่นย่อ ข้อความที่ดำเนินไปสำหรั้บหน้าที่ั้งหมดมักจะทำลายความแจ่มแจ้งอยางมหาศาล 
13 จงเขียนอย่างกระชับ หลีกเลี่ยงการย่นย่อ,การต่อเติม, คำซ้ำซ้อนและฟุ่มเฟือยเกินไป  สิ่งใดที่ไม่สนับสนุนต่อทัศนะความคิดเห็น หรือความเข้าใจผุ้อ่านในเรื่องนั้น ๆ  ทำให้บทความมีความเจือจางลงไป  อย่าได้แต่้งเติมคำนำ เช่น("ตลอดชั่วอายุของคนเรามักไ้ดศึกษาสาเหตุของสงคราม") อะไรที่ไม่สนับสนุนต่อการโต้แย้งหรือความเข้าใจของผู้อ่านของมันเจือจางความมีประสิทธิผลของการเขียนเรียงความ ไม่ รวมบรรจุเบื้องต้น (เช่น "คนตลอดทั้งปีมีการศึกษาสาเหตุของสงคราม") และ "ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์" ที่ไม่ได้ใช้หรือจำเป็นต่อทัศนะความคิดเห็นของคุณ  นักศึกษามักจะไม่จำเป็นเสียเวลากับช่องว่างเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และเอกสารที่ยังไม่ได้รวบรวมมา   จงแน่ใจว่าเมืื่ออ่านเอกสารของคุณก่นอที่จะสิ้นสุดในการเขียนและหยุดเขียนข้อความตั้งแต่เนิ่น ๆที่กลับมาเป็นผลงานที่แสดงความคืบหน้าของคุณ  

14 หลีกเลี่ยงการอ้างอิงที่ยืดยาวเกินไป  จะดีกว่าการมีวลีที่มีทัศนะของผุ้อื่นในถ้อยคำของคุณเองซึ่งมีการอ้างอิงยาวเกินไป    บทสรุปมักจะกระชับ และเหมาะสมดีกว่าในการเขียนบทความ  มากกว่าการอ้างอิงต้นฉบับ  ข้อเขียนในบริบทอื่น ๆ เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ  (แน่นอน คุณต้องแสวงหาการอ้างอิงในความคิดของผู้อื่น แม้ว่าคุณจะใส่เป็นคำพูดของคุณเอง   การใช้คำอ้างอิงโดยตรงเท่านั้นก็ต่อเมื่องคุณจำเป็นต้องดึงเอานักประพันธ์ที่น่าเชื่อถือ เมื่อภาษาเป็นสิ่งเฉพาะอย่างของเรื่องราวของผุ้ประพันธ์  หรือเมื่อแหล่งที่มาเป็นข้อมูลปฐมภูมิ  อย่าได้อ้างอิงง่าย ๆ เพราะว่าคุณคิดว่าแหล่งที่มาของคุณกล่าวถึงมันดีกว่าที่คุณสามารถเขียนได้   หรือคุรประหยัดการใช้วลีของคุณเอง 

รูปแบบและไวยากรณ์

15 หลีกเลี่ยงการเขียนข้อความที่ซับซ้อน, ประโยคเก๋ไก๋ซึ่งยากต่อความเข้าใจ และควรเขียนให้ตรงไปตรงมาให้มากเท่าที่ทำได้   คุณจะสามารถกล่าวได้มากในการใช้พื้นที่เขียนน้อยลงหากคุณลดวลีบรุพบที่ไม่จำเป็น, การแสดงความคิดเห็นที่ไร้ความหมายอย่างชัดแจ้ง (ตัวอย่างเช่น "มันเป็นสิ่งสำคัญในการอทนต่อจิตใจที่ว่า"  และเสียงแบบโครงสร้างประธานถูกกระทำ (เช่นใช้คำว่า "เฮียรารี่เตะบิล"มากกว่าบิลถูกเตะโดยเฮียรารี่) 

16 การใช้ไวยากรณ์และการสะกดคำที่ถูกต้อง  สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องล้าสมัย,ต้องการอวด ข้อผิดพลาดในที่นี้จะเป็นสิ่งที่มั่วนิ่มในความกระจ่างแจ้งกับความคิดเห็นของคุณ และยังนำให้ผู้อ่านสงสัยหากคุณอาจจะเหลวไหลในงานวิจัยของคุณและการวิเคราะห์กับไวยากรณ์และการสะกดคำของคุณ  ด้วยการประดิษฐ์การสะกดคำพูดจากโปรแกรมตรวจสอบ  ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีการขอโทษต่อการสะกดคำผิดอีกด้วย

17 ใช้รูปแบบที่เรียบง่าย เอกสารทั้งหมดควรจะพิมพ์เว้นระยะสองคั่น (เช่นใช้หมายเลขหน้า) และพิมพ์ด้วยอักษรทั่วไป  อย่าไ้ด้ใช้ช่องว่างพิเศษระหว่างข้อความ  ในขณะที่เสียช่องว่างและขอนแนะให้อาจารย์ของคุณในสิ่งที่คุณกำลังขยายความเพื่ไปสีหน้าที่มีความยาว  จงเย็บกระดาษติดกัน  แฟ้มและปกเป็นสิ่งไม่จำเป็ฯและยุ่งยาก  มักจะมีการสำเนาเอกสารพิเศษเก็บไว้ ในแผ่นดิสก์ หรือกระดาษ ในกรณีที่อาจารย์ทำเอกสารสูญหาย (เราจะไม่เรียกว่าใจลอยไม่ว่าอะไรก็ตาม)ล

18 ใช้รูปแบบการอ้างอิงมาตรฐาน เมื่อ อ้างในเชิงอรรถใช้รูปแบบเดียวกับเชิงอรรถแรกด้านล่างครั้งแรกที่คุณอ้างอิง แหล่งที่มา. [1] สำหรับการอ้างอิงภายหลังจากแหล่งเดียวกันใช้อ้างอิงแบบย่อ (ดูตัวอย่างในเชิงอรรถที่ประโยคนี้). [2 ] วิธีการอ้างอิงที่ค่อนข้างง่ายคือการให้การอ้างอิงไว้ในตอนท้ายของประโยค (ไนเดอร์ 1991, 42)
ถ้าคุณใช้การอ้างอิงตอนท้าย แม้ว่าคุณจะต้องให้การอ้างอิงที่สมบูรณ์แบบสำหรับการทำงานที่อ้างถึงในบรรณานุกรมทุกที่ส่วนท้ายของกระดาษ

การทบทวนเอกสารบทความของคุณ

19  จงอ่านอีกครั้งอ่านและแก้ไขการเขียนของคุณ เพื่อปรับปรุงงานเขียนของคุณคุณจะต้องอ่านอย่างพิถีพิถัน ดังเช่นคนส่วนมากและอาจารย์ของคุณจะอ่านให้มากที่สุด   แต่มันยากต่อการเขียนด้วยตัวของคุณเองอย่างมีอัตวิสัย  และผุ้เขียนโดยธรรมชาติจะยึดเอาถ้อยคำที่ผู้เขียนใส่ไว้ในหน้ากระดาษ  การพักเบรคจะช่วยให้คุณมีความคิดที่กระจ่างในตัวของคุณเอง และงานเขียนของคุณเอง ในการอ่านฉบับร่างของคุณอยางพิถีพิถันราวกับว่ามีบางคนได้เขียนมันขึ้นมา
พยายามอ่านฉบับร่างครั้งแรกเพียงสองสามวันก่อนที่เอกสารจะถึงเวลาส่ง  ภายหลังการเบรคพักผ่อนจากงานเขียน  จงทบทวนแนวทางปฏิบัติจากความจำนี้  (การตรวจสอบจากบรรณาธิการจากแบบตรวจสอบรายการข้างล่างนี้จะเป็นประโยชน์)  และจงอ่านฉบับร่างอีกครั้งหนึ่งจากเริ่มต้นจนสิ้นสุด จงวงข้อความที่จำเป็นต่อการตัดออก, ย้ายออกหรือปรับปรุงใหม่  


การขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม

บางแหล่งทั่วไปที่ยอดเยี่ยมกับการเขียนเป็นวิลเลียม Strunk จูเนียร์และ EB สีขาว, องค์ประกอบของสไตล์; Kate Turabian, คู่มือนักเรียนการเขียนเอกสารวิทยาลัยริชาร์ดแลนร้อยแก้วปรับ; และวิลเลียม Zinsser, การเขียนดี
สำหรับ คำแนะนำในการเขียนบทความวิจัยและการสร้างข้อโต้แย้งที่ซับซ้อนมากขึ้นผมขอ แนะนำให้เวย์น ซี. บูธเกรกอรี่กรัม โคลอมบ์และโจเซฟเมตรวิลเลี่ยมส์, อาร์ตเวิร์กของการวิจัย (1995)
แนว ทางที่ชัดเจนสำหรับเครื่องหมายวรรคตอนรูปแบบและการอ้างอิงสำหรับเอกสารงาน วิจัยที่สามารถพบได้ใน Kate Turabian, คู่มือสำหรับนักเขียนแห่งเอกสารคำวิทยานิพนธ์และวิทยานิพนธ์ (รุ่นต่างๆและปี)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)