จงรักรัฐบาล เพราะรัฐบาลมาจากประชาชนส่วนใหญ่

จงรักรัฐบาล เพราะรัฐบาลมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
         การที่คนบางกลุ่มออกมากดดัน หรือการข่มขู่รัฐบาล หรือการขับไล่ใส่ส่งเพื่อนมนุษย์ร่วมดาวพระเคราะห์ดวงนี้นั้น  ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการที่เราไม่เคารพศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ในดาวพระเคราะห์ดวงนี้ และขาดความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  และยิ่งบุคคลบางกลุ่มที่อยู่่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลับไม่มีความเกรงใจในการตัดสินใจของรัฐบาล  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นได้สัญญาประชาคมกับประชาชนในการให้มีการปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนุูญที่เหมาะสมกับยุคสมัย และล้มล้างการรัฐประหารนั้น   เป็นการกระทำที่ถุูกต้อง และจากบาปที่ทำการรัฐประหารนั้นเราก็จะเห็นผลสะท้อนว่ามีแต่เรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น  และผลงานที่ปรากฎทำให้ประเทศไทยเดินถอยหลังไปอย่างมาก แต่คนบางกลุ่มสะดวกสบายมีอำนาจล้นฟ้า และขาดความยุติธรรมทางสังคมซึ่งก็ปรากฎให้เห็นแล้ว   เพราะการฟังเสียงมติประชาชนส่วนใหญ่นั้นคงไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องนี้  เพราะการที่รัฐบาลได้รับเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ และยอมรับมตินโยบายก็ถือว่าเป็นมติมหาชนโดยปริยาย   บุคคลที่ทำงานให้กับประเทศชาติล้วนแต่กินภาษีเงินเดือนของราษฎร หากเราไม่ฟังเสียงรัฐบาลที่เป็นเสียงส่วนใหญ่    คอยหาทางที่จะล้มล้างอำนาจของประชาชนย่อมมิใช่วิสัยของการทำงานที่เป็นคนของประชาชน แต่เหมือนกับเป็นการรวมกลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์มากำหนดกฎเกณฑ์หรืิอมีอำนาจเหนือประชาชนย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง    ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนควรมีจิตสำนึกรับใช้ประชาชน  แต่ให้ดูผลงานรัฐบาลว่าเป็นอย่างไร มิใช่มัวจับจ้องความผิดพลาด หรือหาวิธีทำลายกันซึ่งผู้ที่กินภาษีของราษฎรควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชนของประเทศ  มิใช่กระทำตนดังคนที่เป็นเจ้าของอำนาจเสียเอง หรือสรุปไปเองว่าจะกระทบกระเทือนต่อตนเอง  แต่ควรนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ และให้เกียรติกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้     มิฉะนั้นปัญหาบ้านเมืองมิได้ขับเคลื่อน เพราะมีการสะดุดขาอยู่ร่ำไป  สิ่่งสำคัญที่คนเราควรให้เกียรติประชาชนคือ
      1. ไม่ควรผูกขาดอำนาจโดยกลุ่มบุคคล  ควรคิดว่าอำนาจนั้นเป็นของประชาชน ไม่ควรออกมาข่มขู่รัฐบาล แต่ควรเสนอทางออกที่ดี ในขณะเดียวกันบุคคลที่ทำงานในตำแหน่งสำคัญต้องระวังการพูดที่กระทบต่อสังคม แต่ควรพูดเป็นกลาง แต่สามารถวิจารณ์ได้อย่างมีเหตุผล เพราะสิ่งนี้คือเสรีภาพที่จะช่วยให้ความคิดเห็นเป็นประโยชน์ต่อสังคม
      2. ไม่ควรใช้วิธีการพูดแบบประชดประชัน หรือการเสียดสี แต่ควรชี้ทางออก หรือมิควรใช้อารมณ์หากบุคคลน้้นเป็นบุคคลที่เป็นชนชั้นนำทางสังคม มีตำแหน่งแห่งหน ยิ่งต้องระวังการพูดจาที่ทำให้เกิดความ่ขัดแย้งทางสังคม และมิใช่หาเหตุความขัดแย้งมาจ้องทำลายอำนาจของประชาชน  และขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องหมั่นคอยตักเตือนเพื่อนร่วมงานที่มีการใช้คำพูดที่รุนแรง     แต่มิใช่หนทางที่ทำลายอำนาจประชาชนด้วยการรัฐประหาร  การไม่พอใจเพียงใด ก็ไม่สมควรที่จะมุ่งทำลายโครงสร้างสังคมประช่าธิปไตยทั้งประเทศ เพราะเป็นเรื่องตัวบุคคลเท่านั้น
       3. ควรเผื่อแผ่ความรักที่เป็นสากล คือบุคคลที่ทำงานภาครัฐ ไม่ว่าตำแหน่งใด ๆ ก็ตาม ควรมีความรักประชาชนเหมือนคนในครอบครัว  มิใช่มีความรักเฉพาะหมู่พวก หรือตนเอง ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัว แต่่ความรักประเทศมิใช่รักเพียงบางอย่างเท่านั้น  แต่ต้องมีความเผื่อแผ่รักประชาชนซึ่งมีความต้องการด้วย    กลุ่มต่าง ๆ ที่รวมตัวกันไม่ควรรวมตัวเพราะผลประโยชน์ แต่ควรรวมตัวเพราะอุดมการณ์ และให้มองว่าผลประโยชน์เงินทองไม่สำคัญกว่าอุดมการณ์ หรือหลักการ  หากมนุษย์มัวจดจ้องผลประโยชน์ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่แย่งกระดูก หรือแย่งชิ้นเนื้ัอ  โดยหูไม่ฟังเสียงประชาชนผู้หิวโหยได้   ความรักที่ว่านี้คือปรารถนาให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่คิดคอรัปชั่นเงินของประชาชน  เพราะต้องมองว่าเป็นบาปกรรมที่กระทำไว้ซึ่งไม่มีใครเลี่ยงกฎแห่งกรรมได้
        4. ประชาชนที่ใช้สื่อต่าง ๆควรพูดจาอย่างสร้างสรรค์ ไม่ควรพูดจาที่ไม่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเพียงบางคนบางกลุ่ม  ควรมีวิธีการสื่อที่สร้างสรรค์   เว้นแต่สิ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมหรือม่ยุติธรรม แต่อย่างไรก็ดีก็ไม่ควรใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป  และไม่ควรมีการโต้ตอบแบบใช้อารมณ์ เพราะบางครั้งเป็นการพูดเกินความจริง
        5. ควรสื่อสารในลักษณะที่ใส่ความรัก, ความจริงใจ, ไม่เสแสร้ง   เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้คนในสังคมมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน  แต่ไม่ควรมีการใส่ร้าย หรือป้ายสีกัน  ต้องถือว่าประชาชนในประเทศล้วนเป็นพี่น้องกัน มิใช่ศัตรูกัน แต่วิจารณ์กันได้เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข ในขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับการวิจารณ์ก็ต้องมีความอดทน,อดกลั้น เพราะความคิดต่าง   ในสังคมคอมมิวนิสต์เองเขาก็ใช้วิธีการ ที่้เรียกว่า "วิจารณ์,สามัคคี,วิจารณ์     แม้แต่สังคมคอมมิวนิสต์ยังยอมรับการวิพากย์วิจ่ารณ์กันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา   แต่เมื่อมีการวิจารณ์แล้วควรรีบแก้ไข    แต่ไม่ควรข่มขู่รัฐบาลที่มาจากการเลื่อกตั้งของประชาชน     การรัฐประหารก็เปรียบเสมือนการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะเท่ากับไปแย่งอำนาจของราษฎร   และไม่ควรถือว่าอาวุธที่มีอยู่จะทรงพลานุภาพแก้ปัญหาประเทศได้ แต่ต้องอาศัยมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศสำคัญ    บุคคลที่คิดว่าการมีอาวุธอยู่ในมือแก้ปัญหาประเทศได้เป็นคนที่มิวิสัยทัศน์คับแคบ และหลงไหลกับอำนาจมากเกินไป  แต่ควรใช้สติปัญญาเป็นอาวุธจะดีกว่า




           




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ