วิทยาลัยทองสุข: บริการทางวิชาการแก่สังคม เรื่อง "ประชาธิปไตยอัจฉริยะ"

ประชาธิปไตยอัจฉริยะ   โดย ผศ.ดร.ทวิพันธ์ พัวสรรเสริญ

                           เนื่องจากการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ก่อการคณะราษฎร์ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475   ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7     โดยพระองค์ทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลว่าพระองค์ปรารถนาจะให้ประชาธิปไตยกับปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว   แต่ทว่าทรงเล็งเห็นว่าประชาชนไทยยังไม่พร้อมต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย       เมื่อกลุ่มคณะราษฎร์ซึ่งมีกลุ่มจากข้าราชการทหาร, ตำรวจ, และพลเรือนซึ่งได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอนารยะประเทศต่างปรารถนาที่จะเจริญรอยตาม         แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังขาดการเรียนรู้แบบประชาธิปไตย หรือการมีจิตสำนึกแบบประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม      พระองค์จึงทรงมีพระสุนทรพจน์ตอนหนึ่งที่ว่า  ข้าพเจ้ามีความยินดีและเต็มใจที่จะมอบอำนาจของข้าพเจ้าที่มีอยู่แต่เดิมให้กับปวงชนชาวไทย    แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยินยอมสละอำนาจให้แก่กลุ่มบุคคลคณะหนึ่งคณะใดเป็นผู้ใช้อำนาจ  โดยไม่ยอมรับฟังเสียงราษฎร   
                     จากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎร์ที่ปฏิวัติจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์มาจนถึงจวบจนปัจจุบัน  ใช้เวลามาเป็นเวลากว่า 74 ปีมาแล้ว   จะพบว่าการปกครองประชาธิปไตยของไทยยังมีปัญหา และยังไม่สามารถเดินตามวิถีทางประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืน     จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการปฏิวัติรัฐประหารกันอยู่เสมอมา       ฐานประชาธิปไตยยังเป็นที่คลอนแคลนและก่อให้เกิดเงื่อนไขการปฏิวัติรัฐประหาร        ทั้งนี้เป็นสิ่งที่คนไทยควรคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด  ประชาธิปไตยของไทยจึงไม่รุดก้าวไปข้างหน้าเสียที ?    ทำไมจึงมีลักษณะเดินหน้าถอยหลังไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนา หรือประเทศอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยไปกันมากแล้ว ?       ปัญหาของประชาธิปไตยเกิดจากตัวบุคคล หรือเกิดจากระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา, หรือจากวัฒนธรรมค่านิยมที่ปลูกฝังกันผิด ๆ     ทำให้วิถีทางประชาธิปไตยจึงมีลักษณะล้มลุกคลุกคลาน     ซึ่งก่อนที่จะเข้าถึงปัญหาหรือการแสวงหาแนวทางของประชาธิปไตยแบบทางเลือกที่ผู้เขียนเสนอต่อสังคม   เพื่อให้สังคมมีการรับรู้และสร้างกติกาประชาธิปไตยอย่างมีจิตสำนึก       และมิใช่เข้าใจประชาธิปไตยแต่เพียงแค่เปลือกกระพี้เท่านั้น       ประชาชนคนไทยควรเข้าถึงแก่นแท้ของประชาธิปไตย เพราะว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงรูปแบบที่มีรัฐสภา, สส., สว, หรือเป็นเพียงมีรัฐธรรมนูญ  แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น   นั่นก็คือจิตสำนึกหรือจิตวิญญาณประชาธิปไตย    ซึ่งจะพบว่ารัฐบาลไม่ค่อยส่งเสริมหรือปลูกฝังกันในเรื่องนี้      เราจะพบว่าไม่มีการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยในห้องเรียน ไม่มีหลักสูตรที่สอนกันอย่างจริงจังอย่างเป็นระบบในการสอนถ่ายทอดจากเด็กสู่ผู้ใหญ่           ทั้งนี้เพราะว่าวิถีทางประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และเป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของตะวันตกซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าทางความคิดหรือลอกเลียนแบบมาจากตะวันตก โดยเข้าใจว่าประชาธิปไตยได้แก่การมีรัฐสภา, การมีสภาผู้เทนราษฎร, การมีการเลือกตั้ง, การลงคะแนนเสียง, การมีพรรคการเมือง ฯลฯ      ซึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นประชาธิปไตยแค่รูปแบบเท่านั้น     แต่ควรเป็นประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหาด้วย เช่นการมีอุดมการณ์และจิตสำนึกประชาธิปไตย, การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบพลเมือง (Citizenship) ,   การรู้จักรักษาสิทธิและหน้าที่ การรู้จักความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ,     การวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองโดยมิเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน,      การเคารพสิทธิและกติกาของบ้านเมือง,    การรักษามติของเสียงส่วนใหญ่ และพิทักษ์เสียงส่วนน้อย (Majority Rule, Minority Right)  ,  การพัฒนาสถาบันการเมือง และวิถีชุมชนแบบประชาธิปไตย         การที่เสาประชาธิปไตยถูกรื้อถอน และถูกสั่นคลอนนั้นเกิดจากการไม่เข้าใจ หรือรู้ลึกซึ้งพอในการดำรงวิถีทางประชาธิปไตยได้          ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ประชาธิปไตยจะยืนยงอยู่ได้คือประชาชนต้องมีทัศนะว่าประชาธิปไตยเปรียบเสมือนเสาหลัก     หากโค่นลงมาบ้านก็จะทรุด หรือเอียงกระเทเร่ได้        จะต้องพยายามขวนขวายให้เสาหลักมีความมั่นคง และช่วยกันประคับประคองไม่ว่ากลุ่มบุคคลใด, อาชีพใด ต้องมีลักษณะหวงแหนมิให้ใครย่ำยีได้ เป็นความมั่นคงทางด้านสังคมประชาธิปไตย  มิใช่ประชาธิปไตยแบบต้นกล้วยที่เลี้ยงไว้ไม่กี่ปีก็ต้องถูกโค่นและกินดอกผลจากผู้สร้างมาก่อน        แต่เราจะพบว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจน้อยมาก   และไม่สามารถเข้าใจในการรู้รักษาประชาธิปไตยที่คนไทยหวงแหนได้         จึงอาจเป็นกับดักที่ทำให้บุคคลบางกลุ่ม หรือบางคณะได้ใช้วิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแต่เป็นการแอบอ้างได้        หากคนเป็นผู้นำที่ไม่สนใจ หรือไม่เข้าใจวิถีทางการปกครองแบบประชาธิปไตยมาใช้อย่างเต็มที่      ซึ่งรูปแบบประชาธิปไตยมีที่มาจากการยึดอำนาจการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงปัจจุบันนี้  จะแบ่งเป็นยุค ๆ ได้ดังนี้
                   1.ยุคคณะราษฎร์เรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตย  ซึ่งประกอบด้วยคณะทหาร, ตำรวจ, พลเรือนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475-2499
                   2.ยุคก่อการรัฐประหาร ที่เรียกกันว่าการก่อการปฏิวัติ  ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 – 2516 เป็นต้นมา
                   3. ผลัดเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลฝ่ายพลเรือน  ตั้งแต่รัฐบาลสัญญาธรรมศักดิ์, รัฐบาลธานินนทร์  กรัยวิเชียร, รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์, รัฐบาลชวน หลีกภัย, รัฐบาลพณ. ท่านชาติชาย ชุณหวัณ
                   4. ยุครัฐประหารโต้กระแสฝ่ายรัฐบาลพลเรือน   ได้แก่ยุคพลเอกสุจินดา  คราประยูร หรือยุคพฤษภาทมิฬ  
                   5.ยุครัฐบาลพลเรือนที่เป็นรัฐบาลแบบนักธุรกิจในลักษณะที่เป็นประชานิยม  (Populism) เน้นการทำงานที่รวดเร็วและเข้ากับโลกาภิวัฒน์   ได้แก่รัฐบาลยุคพณ.ท่านดร.ทักษิณ  ชินวัตร
                      6.ยุครัฐประหารแบบเยือกเย็น   (Silky Revolution)  เป็นยุคที่บทบาททหารได้ใช้ประสบการณ์จากการปฏิวัติที่ทำให้ภาพพจน์เสียหาย    กลับมาสร้างสรรค์ประชาธิปไตย  ด้วยวิธีการล้มอำนาจรัฐบาลพลเรือน   และพยายามเอาใจมวลชนที่สนับสนุน  เนื่องจากการที่ฝ่ายปฏิวัติอ้างว่ามีการคอรัปชั่นแบบเครือข่าย   และทำให้คนบางกลุ่มที่ใหญ่พอสมควรไม่พอใจ

รากฐานแนวคิดประชาธิปไตยที่แท้จริง
                     ประชาธิปไตยถ้ามองเพียงผิวเผินคือ การมีการเลือกตั้ง, การมีรัฐสภา, การมีรัฐธรรมนูญ, การใช้สิทธิใช้เสียง   ซึ่งยังเป็นประชาธิปไตยเพียงรูปแบบเท่านั้น    แต่พฤติกรรมและจิตสำนึกประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องเนื้อหาสำคัญ    แต่จริง ๆ แล้วเราอาจไม่รู้จักความหมาย, คุณค่า, ความลึกซึ้งของประชาธิปไตยซึ่งเป็นแก่นแท้           ดังนั้นเราจะพบว่าการที่คนไทยจะเข้าถึงแก่นแท้ประชาธิปไตยนั้น    สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือการทำให้ประชาชนมีระบบเศรษฐกิจที่ดีเสียก่อนในลักษณะของการกระจายรายได้แก่คนในสังคมในทุกระดับ       หากคนส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในสภาพล้าหลังและยากจน   ก็ยากที่จะจรรโลงประชาธิปไตย     และกลายเป็นการครอบงำทางความคิดไปสู่ระบบเก่า ๆ หรือพฤติกรรมแบบเก่าที่ไม่ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้     ดังนั้นจึงขอทำความเข้าใจในหลักการและวิถีทางประชาธิปไตยเสียก่อน
                    การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย  เป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจโดยผ่านระบบตัวแทนเพื่อเข้าไปกำหนดนโยบายรัฐบาล และกำหนดทิศทางการทำงานเพื่อใช้อำนาจรัฐนั้นสร้างความผาสุกให้แก่ปวงชนชาวไทย     เพราะประชาชนไม่สามารถเข้าไปทำหน้าที่โดยตรงได้   จึงต้องมีระบบตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่      ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศมีการถ่วงดุลกัน 3 อำนาจด้วยกัน  ได้แก่ ก. อำนาจนิติบัญญัติ คืออำนาจในการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมประชาชน   ข. อำนาจบริหารหมายถึงอำนาจในการนำกฎหมายไปใช้บังคับ และการนำเจตนารมณ์ที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker)  ตรากฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม    ค. และอำนาจตุลาการ  คืออำนาจในการตัดสินคดีความที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม, ไม่เลือกปฏิบัติ, ไม่ใช้อิทธิพลแทรกแซงไม่ว่ากรณีใด ๆ      อำนาจทั้งสามประการนี้ต้องคอยตรวจสอบ, ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน      หากอำนาจทั้ง 3 เหล่านี้ถูกแทรกแซงครอบงำก็จะทำให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดมีมากเกินไป    และในปัจจุบันแนวโน้มอาจใช้อำนาจของประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้, ติดตามผลจากอำนาจของภาคประชาชน      ซึ่งการตรวจสอบอำนาจภาคประชาชนควรเป็นอำนาจที่บริสุทธิ์ไม่เจือด้วยผลประโยชน์จากคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นพิเศษ   แต่ในทางปฏิบัติในสังคมไทยยังมีบุคคลบางกลุ่มที่มักแอบอ้างประชาธิปไตยโดยพิจารณาจากแนวคิดของตนเอง   ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถูกบิดเบือนไปตามกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group)  

  การปกครองประชาธิปไตยมีกำเนิดเริ่มเดิมทีเกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐกรีกโบราณเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล      ซึ่งมีลักษณะประชาธิปไตยโดยตรง   ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าร่วมชุมนุมและแสดงสิทธิความคิดเห็นได้      ทั้งนี้เพราะเมืองหลวงของกรีกมีอาณาเขตไม่ใหญ่โตกว้างขวาง  และมีประชากรค่อนข้างเล็กน้อย    แต่ในปัจจุบันไม่สามารถนำระบอบประชาธิปไตยโดยตรงมาใช้ได้  เพราะประชาชนมีมากเกินกว่าที่จะให้โอกาสมาใช้สิทธิในการแสดงออกได้     ดังนั้นประชาธิปไตยในปัจจุบันจึงเป็นประชาธิปไตยโดยผ่านตัวแทน หรือประชาธิปไตยทางอ้อม   เช่นการเลือกผู้แทนราษฏรเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา          ดังนั้นหน้าที่ของตัวแทนจึงทำหน้าที่ในการรวบรวม, แสวงหาสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกระดับชั้นแต่สิ่งที่สำคัญในประเทศที่คนส่วนใหญ่ยังมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มบุคคลที่ยากจนมากที่สุดเสียก่อน    หรือถ้าหากให้ความสำคัญกับกลุ่มคนระดับกลาง และระดับสูงก็ควรให้มีการจัดเก็บภาษีลดหลั่นตามระดับรายได้ให้มากพอที่จะช่วยคนระดับล่างได้มากขึ้น รวมทั้งสร้างรากฐานของระบบการศึกษาที่ขยายตัวในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เพิ่มพูนมากขึ้น   ทำให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดี,มีคุณภาพชีวิตที่ดี                  ดังนั้นหลักการประชาธิปไตยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการ ได้แก่   ก. อุดมการณ์ประชาธิปไตย      ข. การปกครองแบบประชาธิปไตย  และ ค. วิถีชีวิตประชาธิปไตย     และสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนขอเพิ่มเติมคือ ประชาธิปไตยอัจฉริยะ  ซึ่งหมายถึงการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนคนไทยในทุกระดับอย่างแท้จริง       ประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ, เข้าถึง และพัฒนาขีดความสามารถประชาธิปไตยโดยเฉพาะระดับนักการเมืองหรือระดับผู้บริหาร, ผู้นำต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง  และยอมรับกติการ่วมกัน  และป้องกันไม่ให้เกิดวงจรอุบาทว์ทางการเมืองเข้ามาทำลายความมั่นคงของประชาธิปไตย  ซึ่งก็คือความมั่นคงของชาติ และประชาชน  ซึ่งในสากลของโลกได้ให้ความสำคัญกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance)    ซึ่งกระแสของโลกนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใส, ความรับผิดชอบ, ความซื่อสัตย์, ฯลฯ   ดังนั้นหากประเทศใดตกอยู่ภายใต้การปกครองที่มิใช่ประชาธิปไตยก็มักถูกปฏิเสธในการร่วมคบหาสมาคม และทำให้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดี และรวมถึงการค้าขายกับต่างประเทศด้วย   และรวมถึงบดบังความสง่างามที่มีต่อประชาคมโลกได้ ซึ่งเราพอจำแนกการใช้ประชาธิปไตย  ดังนี้คือ
                    1 ประชาธิปไตยในแง่ของการปกครอง     คือการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกติกาคือ รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ต้องฉันทามติจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  โดยไม่เลือกชั้น,วรรณะ, ผิวพรรณ, เพศ   ทุกคนมีความเสมอภาคกันตามกฎหมาย  
                    2. ประชาธิปไตยในแง่ของการใช้สิทธิใช้เสียง   คือประชาธิปไตยที่มีการับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน   โดยถือเสียงส่วนใหญ่ พิทักษ์เสียงส่วนน้อย (Majority Rule, Minority Right)     ประชาธิปไตยมิใช่มาจากคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด    แต่บุคคลนั้นต้องมาจากตัวแทนของประชาชน  และการให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองให้มากที่สุด  
                 3.ประชาธิปไตยในแง่ของวิธีการ   คือประชาธิปไตยที่ใช้วิธีการประชาธิปไตย แต่มิใช่ใช้วิธีการรัฐประหาร (Coup de’ tat’)   เพราะถ้าหากเป็นการยึดอำนาจแล้วก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยทันที     ถึงแม้ว่าเราจะแอบอ้างว่ารัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย  แต่ทว่าวิธีการยังไม่เป็นประชาธิปไตย
                   4.ประชาธิปไตยในแง่ของอุดมการณ์   คือประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่ของประเทศมีอุดมการณ์ร่วมกัน  และยอมรับร่วมกันว่าจะจรรโลงประชาธิปไตยที่ยั่งยืน    ไม่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจนิยมครอบงำทางการเมือง ,   ไม่ใช้ประชาธิปไตยไปในทางแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของกลุ่มบุคคล   แต่เป็นประชาธิปไตยที่เอื้อประโยชน์สุขแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ    ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้ค่อนข้างยาก  เพราะคนไทยมักติดตัวบุคคลมากกว่าหลักการ   ทำให้เกิดกลุ่มบุคคลที่แตกต่างกัน  และนำมาซึ่งความขัดแย้ง        แต่ควรมีขันติธรรมในการยอมรับกติกามากกว่าการใช้วิธีการอื่น ๆ ที่มิใช่ประชาธิปไตย  ซึ่งก็คือหมายถึงการเล่นในเกมส์,   ไม่เล่นผิดกฎกติกา และเป็นสิ่งที่ผู้ไม่ได้เล่นในเกมส์ยอมรับได้      ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของอารมณ์  แต่เป็นเรื่องของเหตุผล การรักษากติกาประชาธิปไตยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
                 5. ประชาธิปไตยในแง่ของการสร้างชาติ   คือประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่ร่วมกันผนึกกำลังความสามัคคีเพื่อกู้ชาติ และพัฒนาชาติให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ๆ ไป  การรักษาสมานฉันท์จะต้องไม่มีจิตใจลำเอียง หรือมีอคติใด ๆ  หรือการลุ่มหลงผลประโยชน์ใด ๆ ที่ทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหาย  
                   6. ประชาธิปไตยในแง่ของคุณธรรม  คือประชาธิปไตยที่มีลักษณะการไม่เห็นแก่ตัว, เห็นแก่พวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องเป็นธรรม      การมีนิสัยที่ไม่โลภโมโทสัน, รู้จักพอเพียงไม่เอาเปรียบคนอื่น ไม่นิยมการใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ,การมีจิตใจที่เป็นประชาธิปไตยในเชิงบวกโดยคำนึงถึงศีลธรรมอันดี, เคารพกฎหมายบ้านเมือง และเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม  เป็นต้น

ความเป็นมาของประชาธิปไตยแบบตะวันตกและแบบไทยๆ    
                     วิวัฒนาการความเป็นมาของประชาธิปไตยมีความแตกต่างกันกับวิถีทางตะวันตกซึ่งวิถีประเพณีตะวันตกซึ่งต่างกับประเทศไทยอย่างมากทั้งในวิถีประเพณีของไทยซึ่งถูกปลูกฝังในการเกรงกลัวผู้มีอำนาจหรือในลักษณะอำนาจนิยม    โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังขาดการศึกษา และเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังขาดความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย   และรวมไปถึงกลุ่มบุคคลในชนชั้นกลางในปัจจุบันที่หลงกระแสโลกาภิวัฒน์ ในเรื่องของวัตถุนิยมที่แพร่หลายจากตะวันตกในเรื่องการบริโภคนิยมซึ่งเราพอจะวิเคราะห์พอสังเขปได้ดังนี้
 ก.กลุ่มประชาชนคนยากจนหรือเกษตรกร  มีวิถีชีวิตค่อนข้างลำบากยากจนในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญของสังคม     มักหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจึงไม่ค่อยสนใจในวิถีทางประชาธิปไตยอย่างจริงจังในลักษณะสร้างจิตสำนึกในความคิด        ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมักฝากความหวังในการช่วยเหลือจากรัฐบาล   เช่นการช่วยเหลือในเรื่องเงินทอง, สาธารณูปโภค, ซึ่งมักเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยในการดำเนินชีวิต    พูดง่าย ๆ ก็คือประชาชนคนไทยไม่สนใจว่าการเมืองประชาธิปไตยจะเป็นเช่นใด    จึงมองประชาธิปไตยเป็นเพียงรูปแบบเช่นมีการเลือกตั้ง, มีผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของประชาชน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับรัฐบาลจะมีการคอรัปชั่นมากน้อยเพียงใด  ขอแต่เพียงให้มีกินมีใช้ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น  ดังนั้นผู้ที่เป็นตัวแทนสมัครเข้ารับการเลือกตั้งหากไม่มีเงินทอง ก็ไม่สามารถจะไปช่วยเหลือชาวบ้านได้   ทำให้การเมืองไทยไม่สามารถทำให้บุคคลธรรมดาซึ่งอาจเป็นคนมีความรู้แต่ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจมากมายไปช่วยเหลือชาวบ้านได้   หรือบางท่านอาจมีฐานะดีแต่ไม่อยากเข้ามาเล่นการเมืองโดยวิธีนี้       แต่ถ้าเข้ามาเล่นจะโดยไม่ซื้อเสียงทางการเมืองก็ต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมจากประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งก็มีอยู่เป็นจำนวนน้อยทีเดียว แ ต่ประชาธิปไตยของตะวันตกในประเทศที่เจริญหรือพัฒนาแล้ว ก็ไม่มีให้เห็นถึงการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งนี้เพราะว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของตะวันตกเกิดจากประชาชนของเขามีจิตสำนึกประชาธิปไตยซึ่งเป็นลักษณะเนื้อหามากกว่ารูปแบบประชาธิปไตย    แต่ประชาธิปไตยของตะวันตกอาจจะมีข้อเสียตรงที่ว่าผู้นำในประเทศที่เจริญแล้วอาจชอบไปจัดระเบียบสังคมโลก   และเข้าไปก้าวก่ายซึ่งอาจไม่ใช้วิธีการเป็นประชาธิปไตยก็ได้        ทำให้ระบบโลกทุกวันนี้ยังมีความสับสน (Chaos World Politics)  เพราะว่ากติกาประชาธิปไตยในแต่ละประเทศยังมีลักษณะกติกาที่ไม่เหมือนกัน  และแตกต่างกัน ไม่เหมือนกติกาฟุตบอลล์ซึ่งจะเตะประเทศใหนก็ใช้กติกาเหมือนกันหมด   มีมาตรฐานการเล่นที่แน่นอน  แต่การตัดสินจะยุติธรรมหรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละประเทศ       แต่วิถีการปกครองประชาธิปไตยผู้เล่นคือประชาชนทั้งหมด  และต้องรู้กติกาเป็นอย่างดีและมีสปิริตในด้านการเล่น     แต่ถ้าหากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังขาดจิตสำนึกด้านประชาธิปไตยที่ถูกต้องแล้ว   ผลก็คือทำให้การเมืองไทยมีลักษณะวงจรอุบาทว์ คล้ายกับวงจรอุบาทว์ของความยากจนนั่นเอง     และเป็นความยากไร้ และความจนทางปัญญาด้านประชาธิปไตย และรวมไปถึงด้านจิตใจที่ดีมีศีลธรรม แต่อาจฟุ้งเฟ้อทางด้านวัตถุ และหลงใหลไปตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป     ทำให้จิตวิญญาณประชาธิปไตยที่คนไทยอุตส่าห์ต่อสู้มาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เจือจางสูญหายไป    เพราะขาดรัฐบาลที่สนใจและเอาใจใส่บำรุงเลี้ยงดูประชาธิปไตยให้เจริญงอกงาม     และมัวแต่ไปสนใจด้านเศรษฐกิจปากท้องโดยเฉพาะรัฐบาลยุค พณ.ท่านดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นทางด้านโลกาภิวัตน์ และประกาศตนเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง  ในขณะที่ทุกภาคส่วนในสังคมยังตามท่านไม่ทัน  เพราะท่านเน้นการบริหารแต่ไม่ได้เน้นการปกครองจึงทำให้กลุ่มนักวิชาการไม่มีความพอใจซึ่งจริง ๆ แล้ว   เรื่องปากท้องก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดของคนไทย   แต่เนื่องจากมีบุคคลกลุ่มชนชั้นกลาง และนักวิชาการที่สนใจวิถีการปกครองแบบประชาธิปไตยได้เข้ามามีบทบาท และคอยติดตามดูมาตลอด       แต่ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีประชาชนสนใจมากพอสมควร  มักเป็นประชาชนภายในสังคมเมืองมากกว่าในชนบท        สังคมไทยจึงคาดหวังผู้นำที่จะทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง และมีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ซึ่งเปรียบเสมือนรถไฟรางคู่ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายทีเดียวดังนั้นวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนกลุ่มนี้จึงมีลักษณะวัฒนธรรมแบบไพร่ฟ้า (Subject political culture)  และมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมือง ไม่เกี่ยวกับประชาชน 
                 กลุ่มประชาชนชนชั้นกลาง   ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีการศึกษาดี และมักอยู่ในเมือง  ความต้องการด้านเสรีภาพในการคิด, ขีดเขียน และการแสดงออกจึงมีความต้องการมากกว่ากลุ่มบุคคลอื่น ๆ และหากรัฐบาลไม่ฟังเสียงคนกลุ่มนี้ หรือมีนโยบายที่ขัดแย้งกับกลุ่มที่ทำงานในภาครัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นกลุ่มที่มีองค์กรเข้มแข็งมากจากประวัติศาสตร์เท่าที่ผ่านมา        โดยเฉพาะรัฐบาลยุค ดร.ทักษิณ  ชินวัตรได้ประสบปัญหากับความขัดแย้งทางความคิด    รวมทั้งบทบาทของฝ่ายค้านที่มองว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากเกินไป     และใช้อำนาจในลักษณะเชิงประชานิยม    ซึ่งนับวันเป็นการเพาะเชื้อให้เกิดความไม่พอใจ ซึ่งผู้นำไทยควรจะมีบุคลิกลักษณะประนีประนอม   และมีความเห็นอกเห็นใจกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง    และมีลักษณะเป็นการเปิดเผยให้เสรีภาพ และยอมรับฟังความคิดเห็น    ก็จะทำให้กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ได้ลดทิฐิ, การเอาชนะโดยใช้วิธีที่รุนแรง, หรือการโจมตี รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี   ซึ่งไม่เกิดผลดี     บทบาทของผู้นำและพฤติกรรมของผู้นำไทยจึงมีความสำคัญ  เช่นการลดระดับความเชื่อมั่นในตนเองให้น้อยลง, รับฟังความเห็นให้มากขึ้น,   ใส่ใจกับทุกปัญหาไม่ว่าปัญหาจะเป็นปัญหาเล็กน้อยก็ตาม     แต่ปัญหาเล็ก ๆอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้  เปรียบเสมือนน้ำผึ้งหยดเดียวก่อให้เกิดปัญหาลุกลามบานปลายจนไม่สามารถหยุดยั้งได้    ในโลกตะวันตกมีปัญหาคนยากจนค่อนข้างน้อย  ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง (middle class)   หรือเป็นชนชั้นที่ร่ำรวยแล้ว  และมีการศึกษาค่อนข้างสูง    ทำให้ประเทศในตะวันตกมักไม่ปรากฏมีปัญหาที่ต้องใช้รถถังมาทำการก่อรัฐประหารเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถขจัดปัญหาการก่อการรัฐประหารและทหารก็อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลซึ่งเกิดจากจิตสำนึกทางประชาธิปไตยที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดี     หรือที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบต้นโพธิ์ต้นไทร มีลักษณะประชาธิปไตยค่อนข้างยั่งยืนไม่ล้มลุกคลุกคลาน หรือถอยหลังลงคลอง     ประชาชนมีระเบียบวินัย เข้าใจและสำนึกประชาธิปไตยโดยไม่ต้องสอน    เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ระบบครอบครัว, สังคม, ชุมชน, องค์การต่าง ๆ  ทุกคนต่าง ๆ ทนุถนอมให้ประชาธิปไตยมีวิถีที่ดี, มีเสรีภาพ, มีความเสมอภาค และมีภราดรภาพ   อย่างสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีลินคอล์นที่ว่า การปกครองประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน,โดยประชาชนและเพื่อประชาชน  และจากคำสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันที่ว่า มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน (Man is equal)   ดังนั้นในสังคมที่มีการแบ่งชั้น หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจะไม่สามารถเป็นสังคมประชาธิปไตยได้  ดูตัวอย่างจากประเทศอินเดียที่มีชนชั้นวรรณะ 4 วรรณะเช่นวรรณะพรามณ์, แพทย์, จัณฑาล, สูตร แม้ว่านายกรัฐมนตรีดอกเตอร์อัมเบก้า ประกาศในรัฐธรรมนูญข้อแรกว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ  แต่พฤติกรรมในสังคมของคนอินเดียก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงกล่าวคือยังมีการถือชั้นวรรณะกันอยู่  ดังนั้นสิ่งสำคัญของรัฐบาลพลเรือนต้องทำให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดีเสมอภาคกัน     เพื่อสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยอย่างที่คนไทยต้องการ        การปลูกฝังประชาธิปไตยในหมู่ชนชั้นกลางจึงไม่ใช่เรื่องยาก   แต่เราจะพบว่าสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ของไทยยังไม่ค่อยมีการสอนเรื่องประชาธิปไตยอย่างเป็นจริงเป็นจัง    ส่วนใหญ่หลักสูตรมหาวิทยาลัยมักเป็นหลักสูตรที่เน้นการทำมาหากินมากกว่าสนใจสังคม หรือการเมืองแบบประชาธิปไตย  การที่ผู้มีความรู้และการศึกษาดีขาดการศึกษาในเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่  ทำให้ประชาธิปไตยมักไปสนใจในกลุ่มบุคคลที่เรียนทางด้านรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, สังคมวิทยา, พัฒนาสังคม ฯลฯ     เป็นส่วนใหญ่      แต่กลุ่มวิชาชีพอื่น ๆ แล้วไม่ได้มีการถ่ายทอดอย่างเต็มที่       แม้กระทั่งการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาก็ไม่ค่อยเห็นมีวิชาเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อสร้างจิตสำนึกตั้งแต่เล็ก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมไทย  เพราะว่าการปกครองประชาธิปไตยของไทยเป็นการลอกเลียนแบบหรือนำรูปแบบจากต่างประเทศ คนไทยส่วนใหญ่ในวิถีชีวิตไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องประชาธิปไตยและเข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516  ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถูกตัดตอน และลดทอนความสนใจอย่างมาก      
            กลุ่มประชาชนคนชั้นสูง และร่ำรวย   เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมือง และการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง  โดยเฉพาะนักธุรกิจ, พ่อค้าวาณิชย์,   ข้าราชการระดับสูง, นักวิชาการที่มีชื่อเสียง , และนักการทหารระดับสูง      มักเป็นกลุ่มผู้คอยสังเกตการณ์และบางครั้งก็เข้าร่วมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง         ซึ่งคนกลุ่มนี้มักมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลง และการเข้าไปแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์จากทางการเมือง    แต่บางคนก็มีลักษณะที่ไม่สนใจและไม่สนใจในการเข้ามามีบทบาททางการเมือง    เพราะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เปลืองตัว   หากทำดีก็เสมอตัว  หากทำมีปัญหาก็อาจทำให้เกิดเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงได้         การเล่นการเมืองจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อชื่อเสียง, วงศ์ตระกูล   เข้าทำนองเสียงมากได้มาก, เสี่ยงน้อยได้น้อย (High Risk, High Return, Low Risk, Low Return)    บางคนอาจมีราชรถมาเกยในตอนที่มีการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ที่ไม่ต้องลงทุนทางการเมือง หรือนักวิชาการที่เข้าร่วมทางการเมืองอาจถูกวิพากย์วิจารณ์จากนักประชาธิปไตยว่ายอมรับใช้กลุ่มที่ล้มอำนาจทางด้านประชาธิปไตย จึงถือว่าเป็นการเสี่ยงทั้งนั้น แต้ถ้าหากมีความจริงใจในการแก้ปัญหาบ้านเมืองก็อาจเป็นเรื่องดีก็ได้แต่ก็อาจถูกกล่าวหาว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน     แม้กระทั่งผู้สมัครรับเลือกตั้งก็ต้องเสียเงินเสียทองมากมาย แม้จะมี กกต. ก็ตาม         เนื่องจากนักการเมืองส่วนใหญ่มีความเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังยากจน หากไม่ช่วยเหลือแล้ว  การสอบได้เป็นผู้แทนก็คงเป็นเรื่องที่ลำบาก  ซึ่งหากพิจารณาอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ที่ลงเล่นการเมืองแล้วมีแต่ความรู้หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ก็ตาม  แต่ถ้าไม่มีเงินแจกจ่ายชาวบ้านแล้ว ก็ไม่สามารถได้รับเลือกเป็น สส.ได้แน่นอน ลองท่านผู้ที่ทำการปฏิรูปการปกครองมาลงเลือกตั้งก็เหมือนกัน  ท่านก็จะไม่สามารถหนีกฎเกณฑ์นี้  เว้นเสียแต่การเมืองบ้านเราสามารถขจัดปัญหาการซื้อเสียงได้อย่างจริงจัง      แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากควรปลูกฝังอย่างจริงจัง      ในการไม่ให้มีการซื้อเสียงเข้ามา    เพราะถ้าหากลงทุนมากผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศก็หวังจะถอนทุนคืนซึ่งมักเกิดกับรัฐบาลพลเรือนแทบทุกรัฐบาลก็ว่าได้และมักเป็นเหยื่อหรือเงื่อนไขของการปฏิวัติรัฐประหารเรื่อยมา   เพราะประเทศไทยยังขาดกลไกที่ควบคุมการซื้อเสียงเลือกตั้งได้   นอกเสียจากหากลวิธีที่ทำให้การซื้อเสียงน้อยที่สุด ในลักษณะการบังคับให้ระบบการเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม และให้ความเสมอภาคกันในการหาเสียง, การติดป้าย, การรณรงค์เลือกตั้ง, การที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งแบบเคลื่อนที่เข้าหาชุมชน หรือการบริการรถโดยสารฟรีเพื่อนำพาประชนไปสู่สนามเลือกตั้ง, หรือการสมนาคุณแก่ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด   ก็อาจแก้ปัญหาได้  แต่ก็ต้องระวังถูกกล่าวหาว่าเป็นเรื่องประชานิยม     ซึ่งแก้ปัญหาได้โดยมีองค์กรกลางเข้ามาจัดการด้านนี้โดยตรงที่เชื่อถือได้  เช่นอาจมีองค์กรกลางเลือกตั้งที่เลือกตั้งจากประชาชนในแต่ละจังหวัดมาทำหน้าที่ก็ได้

กรอบแนวคิดทฤษฎีประชาธิปไตยอัจฉริยะ
                    จากปัญหาที่ประเทศไทยประสบกับภาวะทางการเมืองที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด   มีลักษณะที่เหมือนรถยนต์วิ่งขึ้นไปข้างหน้า  และต้องถอยหลังกลับมานั้น   เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ และสร้างความสับสนกับลัทธิการปกครองอันเนื่องจากมนุษย์มีความคิดเห็นที่หลากหลาย และแตกต่างกัน  กลุ่มใดที่มีอำนาจมากเกินไปอาจใช้อำนาจไปในทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย       เพราะความคิดรูปแบบประชาธิปไตยของคนไทยมีความเห็นไม่อยู่ในมาตรฐานหรือกติกาอันเดียวกัน        บุคคลที่เป็นผู้นำในสังคมจะต้องระมัดระวังในการวางตนให้สมกับนักประชาธิปไตยที่แท้จริง      แต่ในการบริหารประเทศนั้นหากเรามุ่งแต่เรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียวก็มีอันหวังว่าประชาชนคนไทยก็คงลำบากยากจน  และหากคนในกลุ่มสังคมขาดแบบแผนประชาธิปไตยอันเดียวกันแล้วไซร้ก็จะทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมแห่งความสับสน   และก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างไม่มีวันจบสิ้น         การปรองดองสมานฉันท์และทำความเข้าใจในหลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง     ผู้นำจำต้องมีบุคลิกความคิดจิตวิญญาณแบบประชาธิปไตย  โดยไม่นิยมการใช้กำลังรุนแรง การไม่ยอมรับความคิดเห็นของฝ่ายที่มีความคิดไม่เหมือนกัน      เป็นธรรมดาที่ประชาธิปไตยจะต้องมีความเห็นไม่ลงรอยกันบ้าง และวุ่นวายสับสนไปบ้าง   แต่การเคารพกติกาของสังคมเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง  แต่ก็มิใช่กติกาของคนบางกลุ่มตั้งกันขึ้นมาโดยขาดการยอมรับคนส่วนใหญ่ หรือของสากลประเทศยอมรับ         ดังนั้นสิ่งที่สังคมไทยเรายังขาดความเข้าใจในวิถีการปกครองประชาธิปไตยนั้นเกิดจากการขาดความฉลาด หรืออัจฉริยะทางประชาธิปไตยนั่นเอง        หากประเทศไทยมีการสร้างสังคมอัจฉริยะประชาธิปไตยในทุกภาคส่วน ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสังคมตะวันตกบ้าง    ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน    มิใช่ประชาธิปไตยแบบต้นกล้วยที่ถูกโค่นอยู่บ่อยครั้ง             ก่อนที่จะทำความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยอัจฉริยะนั้นเรามาศึกษาถึงความหมายกันก่อน
                      บางท่านให้คำนิยามง่าย ๆ ว่าประชาธิปไตยคือการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หรือมาจากประชาชน       ซึ่งก็หมายความว่าประชาธิปไตยถ้าไม่อยู่ในอำนาจของประชาชนก็ถือว่ามิใช่ประชาธิปไตย     โดยดูจากสมการดังนี้
                     ประชาธิปไตย      =    อำนาจสูงสุดของประชาชน
               อริสโตเติ้ล (Aristotle) ให้ความหมายประชาธิปไตยแบบเดียวกันว่าประชาธิปไตยก็คืออำนาจสูงสุดอยู่ในมือของประชาชนทั้งหมด     ซึ่งเขามีทัศนะว่าเป็นระบบการปกครองที่ปลอดภัยมากที่สุด
               A.D.Lindsay  ให้ความหมายว่าประชาธิปไตยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่ามนุษย์สามารถตกลงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่วมกันได้   และในทำนองเดียวกันก็มีวิถีชีวิตของแต่ละปัจเจกชนได้   เกิดจากการยอมรับนับถือเคารพนับถือบุคลิกภาพซึ่งกันและกันมากพอ   เราก็สามารถจะหาหลักเกณฑ์ของระบบสิทธิเสรีภาพ  ซึ่งทำให้บุคคลบรรลุถึงชีวิตอันเสรีได้   ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในทัศนะของเขาคือ การปรึกษาหารือถกเถียงกัน       ดังนั้นจากความหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เราต้องยอมรับในความแตกต่างของบุคลิกภาพ  มิใช่ใช้ความเห็นของตนเองเป็นเครื่องกำหนดบุคลิกภาพหรือกลุ่มคนที่ยอมรับบุคลิกภาพเฉพาะกลุ่มเท่านั้น     เพราะมนุษย์มีความแตกต่างกัน, มีความหลากหลาย แต่ควรทำความเข้าใจกันด้วยการพูดจาปราศรัยกันโดยไม่มีทิฐิเป็นเครื่องกั้นใด ๆ  
                         ประชาธิปไตย     =     การยอมรับความแตกต่างในบุคลิก + การยอมรับนับถือกัน + การปรึกษาหารือถกเถียงกันกรณีความเห็นไม่ลงรอยกัน
                        Carton C’Rodee  ให้ความหมายประชาธิปไตยคือการใช้ความพยายามก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีงาม เพื่อประชาชนของคนทุก ๆ คน โดยไม่หยุดยั้ง   นั่นก็คือการให้เสรีภาพของแต่ละคนให้มากที่สุด   พร้อม ๆ กับการให้ความคุ้มครองชีวิต, ความปลอดภัย, การสงเคราะห์ และการมีโอกาสในชีวิตที่กว้างขวางที่สุดสำหรับทุกคน เท่าที่ธรรมชาติจะอำนวย เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพให้เต็มที่ที่สุด และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้มากที่สุด
                         จากความหมายดังกล่าว  จะเห็นว่าการปกครองประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่พยายามให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากที่สุด ได้รับการคุ้มครองสูงสุด, สร้างโอกาสชีวิตสูงสุด (ในสังคมของไทยมักเป็นสังคมที่ยังไม่กระจายโอกาสที่เท่าเทียมกัน   จะเห็นว่าคนจนก็ต้องจนไปตลอดชีวิต  ไม่ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองให้ทัดเทียมกันบุคคลอื่น ๆ    บุคคลที่มีอำนาจในสังคมกลับมีโอกาสมากมาย และมีการใช้อภิสิทธิ์กันในทางที่ผิด ๆ  เช่นระบบอุปถัมภ์ ระบบพรรคพวกเป็นใจ,ระบบเน่าหนอนชอนไช,  ระบบเจ้าขุนมูลนาย, ระบบธนกิจทางการเมือง ซึ่งทำให้สังคมไทยยังมีอุปสรรคเรื่องประชาธิปไตยค่อนข้างมาก  และยังติดยึดกับระบบอำนาจนิยม  ซึ่งหมายถึงว่าใครมีอำนาจจะคิดทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ  โดยไม่ได้รับฟังเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ           จากลักษณาการดังกล่าวการจัดการห่วงโซ่อุปทานในด้านประชาธิปไตยเพื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรมประชาธิปไตยจึงมีโอกาสถูกบิดเบือน, เฉไฉ  อันเนื่องจากความเข้าใจประชาธิปไตยกันคนทิศคนละทาง    และมีโอกาสถูกตัดตอนห่วงโซ่ไปถึงประชาชนในระดับล่างได้            ซึ่งคำว่าการจัดการห่วงโซ่อุปทานหมายถึงวิถีทางที่จะนำเอาประชาธิปไตยไปสู่มือของประชาชนทั้งประเทศได้       เป็นการเคลื่อนที่หรือการบริการไปถึงประชาชน   เช่นทำให้ประชาชนในชุมชนมีอำนาจในการตัดสินใจของเขาเองได้     โดยรัฐไม่เข้าไปแทรกแซงใด ๆ   รัฐเป็นแต่เพียงจัดสรรโอกาสการมีส่วนร่วม   และป้องกันการใช้ความรุนแรงเท่านั้นเอง        จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถเขียนในรูปสมการเพื่อความเข้าใจอย่างง่าย ๆ คือ
                       ประชาธิปไตย     =    หลักประกันสิทธิเสรีภาพ + การคุ้มครองชีวิต + ความปลอดภัย + มีโอกาสสร้างชีวิตได้สูงสุด 
                จากการให้ความหมายของประชาธิปไตย  จะพบว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ประเทศไทยได้นำแนวคิดจากตะวันตกมาประยุกต์ใช้       แต่ยังขาดจิตสำนึก และวินัยในเรื่องประชาธิปไตย   ซึ่งการเข้าใจประชาธิปไตยแบบไทยยังเป็นความเข้าใจแบบผิวเผิน   และดูเหมือนจะไม่ให้ความใส่ใจเท่าที่ควรในขณะนำเอาหลักการประชาธิปไตยไปใช้     เพราะผู้นำและคนไทยส่วนใหญ่ยังติดระบบอำนาจนิยม  จะสังเกตว่าเราจะนิยมคนมีอำนาจ, การติดสอยห้อยตามผู้มีอำนาจ, การไม่กล้าแสดงความคิดเห็นต่อผู้มีอำนาจ    หรือการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น    ซึ่งจะเห็นว่าเรายังเข้าไม่ถึงประชาธิปไตยจริง ๆ เท่าที่ควร  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองประชาธิปไตยสิ่งสำคัญที่สุดคือผู้นำต้องมีความคิดจิตประชาธิปไตยที่ดีเสียก่อน        เพราะลำพังการจะปฏิบัติตามกฎหมาย หรือหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยหาช่องโหว่ทางกฎหมายก็ตาม  ก็ไม่สามารถจะทำให้บุคคลที่เป็นผู้นำมีความสมบูรณ์แบบได้      ซึ่งการสร้างประชาธิปไตยอัจฉริยะนั้น     ผู้เขียนขอเสนอแนวคิดในแต่ละกลุ่มทางสังคม   เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนดังนี้
                    ประชาธิปไตยอัจฉริยะในแง่ของประชาชน หรือปัจเจกชน      ประชาธิปไตยในระดับนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนควรได้รับการศึกษาเกี่ยวกับประชาธิปไตย   ในด้านการศึกษาซึ่งรัฐบาลควรกำหนดให้มีการถ่ายทอดประชาธิปไตยในทุกหมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ, และจังหวัด        เน้นการปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกโดยอาจผ่านสื่อต่าง ๆ  เช่นการใช้สิทธิ, เสรีภาพต่าง ๆ  ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน    การสร้างพลังความสามัคคีของประชาชน    ตัวอย่างประชาธิปไตยอัจฉริยะของปัจเจกชนเป็นดังนี้
                            ก.การรู้จักทั้งสิทธิและการทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี     การเคารพรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น, การละเมิดสิทธิของผู้อื่น การให้เกียรติในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน  
                           ข.  การรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์  และมองโลกในแง่ดี ไม่มีจิตใจคิดหวาดระแวงผู้อื่น, ให้โอกาสผู้อื่น,   มีลักษณะไม่หวงแหนแต่มีลักษณะของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน   มิใช่ต่างคนต่างอยู่    แต่มีลักษณะของการมีความเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง    ไม่ใช้อัตตาในการตัดสินวินิจฉัยผู้อื่นโดยไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้แสดงออก    
                           ค.  มีทัศนะที่หลากหลาย,หลายมุมมองหลายมิติ    การที่ปัจเจกชนมีความรอบรู้ และมีประสบการณ์ในชีวิตจะทำให้มองโลกอย่างกว้างขวาง และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล   ทำให้บุคคลมีการปรับตัวที่เข้าใจมนุษย์ และทำให้รู้จักใช้ประชาธิปไตยในการรับฟังเหตุผลเป็นอย่างดี
                           ง.  การรู้จักรักษากติกา,รักษากฎระเบียบสังคมที่ดี    ไม่นิยมการแหวกกรอบกฎเกณฑ์เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว,มีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์  และการเสียสละเพื่อส่วนรวมซึ่งบางครั้งอาจทำให้สิทธิส่วนตนสูญเสียไปบ้างก็ตาม
                           จ. มองปัญหาของสังคม และของประเทศไทยเป็นเรื่องสำคัญ มีความตื่นตัวต่อการเรียกร้องเพื่อให้ประชาธิปไตยมีความสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง    มีความกล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ตนเองได้รับความเดือดร้อนก็ตาม        มีลักษณะที่ไม่ชอบระบบอำนาจนิยม, การใช้อำนาจเผด็จการ รู้จักให้อภัยและให้โอกาสแก่ผู้อื่นแม้ว่าบุคคลผู้นั้นอาจทำความผิดพลาด หรือเป็นคนไม่ดีมาก่อน 
                            อาจกล่าวได้ว่า   การปกครองแบบประชาธิปไตยเพื่อให้มีวัฒนธรรมและมีจิตสำนึกประชาธิปไตยอาจถึงขั้นต้องมีการปฏิวัติวัฒนธรรมประชาธิปไตยในประชาชนทุกระดับ    โดยเฉพาะระดับรากหญ้าเพื่อสร้างค่านิยม, จิตสำนึกที่ดี    และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และการติดตามตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ       นั่นก็คือการเมืองประชาธิปไตยแบบภาคประชาชนนั่นเอง      มิฉะนั้นบุคคลที่ทำการรัฐประหารก็มักจะอ้างประชาธิปไตย  โดยที่วิธีการยังไม่ใช่ประชาธิปไตย   ก็ยิ่งจะสร้างความสับสนในบรรยากาศ       ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยถูกบิดเบือน และต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งไป       กลายเป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมือง     และตัวแปรที่สำคัญของประชาธิปไตยไม่ใช่คำตอบอยู่ที่ว่ามีปัญหาที่รัฐธรรมนูญ     เพราะเพียงคำว่ารัฐธรรมนูญไม่สามารถจะทำให้ประชาธิปไตยมีความสมบูรณ์ขึ้นมาได้    แต่เกิดจากคนอย่างเรา ๆ ที่มีจิตสำนึกและจิตวิญญาณประชาธิปไตยเท่านั้น        ถ้าหากวัฒนธรรมและประเพณีของไทยยังมีลักษณะเครื่องกั้นทางความคิดประชาธิปไตยแล้ว    ก็ยากยิ่งที่จะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์   นั่นคือในระดับของผู้นำ และชนชั้นนำจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงออกด้วยวิถีทางประชาธิปไตย             ความเป็นปัจเจกชนต้องให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและเท่าเทียมกันของมนุษยชาติไม่ว่าบุคคลนั้น ๆ จะเกิดมาจากชาติภูมิใด ๆ ก็ตาม          การสำนึกว่าตนเองมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย  นั่นก็คือการสนใจการเมืองที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ และแสวงหาแนวทางในการยกระดับประชาธิปไตยของประชาชนให้มีการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้น ไป    
                    ประชาธิปไตยอัจฉริยะในแง่ของครอบครัว        ครอบครัวมีส่วนสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอย่างมาก   เช่นการร่วมรับประทานอาหารในครอบครัว และพ่อแม่มีการถามลูก ๆ ให้แสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ ๆ  และให้กล้าแสดงความคิดเห็นเช่น   วันนี้อยากไปดูหนังเรื่องอะไร  ทำไมถึงอยากไปดูหนังเรื่องนี้   ทำไมไม่ดูหนังเรื่องอื่น ๆ         ความเป็นระบบครอบครัวคงไม่ได้หมายความว่าสนใจแต่เรื่องภายในครอบครัวเช่นมีการดูแลสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น   แต่ยังต้องสนใจโลกภายนอกครอบครัวซึ่งมีส่วนกระทบต่อวิถีทางประชาธิปไตยด้วย     มิฉะนั้นสังคมไทยก็จะกลายเป็นลักษณะบ้านใครอยู่ อู่ใครนอน   หรือเป็นสังคมแบบตัวใครตัวมันเท่านั้น   แต่มีลักษณะในการร่วมรับฟังความคิดเห็น  สนใจเกี่ยวกับข่าวสารการเมือง, พฤติกรรมที่ดีของประชาธิปไตยของผู้นำ แบบอย่างที่ดีของนักประชาธิปไตยซึ่งต้องช่วยกันสอนให้ลูกหลานเข้าใจ     เพื่อวางพื้นฐานให้รู้จักรักษาสิทธิ และหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่นการส่งเสริมให้ไปเลือกตั้ง, การเข้าไปร่วมรับฟังความคิดเห็น พาลูกหลานไปเที่ยวชมรัฐสภา, การประชุมสภาผู้แทนราษฎร,   การรับฟังอภิปรายการแสดงความคิดเห็นของนักวิจารณ์ทางการเมือง, นักการเมือง, นักวิชาการที่อภิปรายเกี่ยวกับการเมืองไทย  ฯลฯ           ครอบครัวที่มีความเป็นอัจฉริยะประชาธิปไตยจึงเป็นครอบครัวตัวอย่างที่ดี    และเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้มีเหตุมีผล ไม่นิยมการใช้อำนาจ, รู้จักรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ๆ ยอมรับความแตกต่างที่ก่อให้เกิดประโยชน์, ถือว่าการมีความแตกต่างทางความคิดช่วยให้เกิดปัญญา และช่วยสร้างทรัพย์สินในความคิดหลากหลาย  ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญงอกงาม         สังเกตว่าประเทศในเอเชียเช่นเกาหลีใต้ และจีนไต้หวันมักมีความเจริญทางประชาธิปไตย แม้ว่าสังคมการเมืองของเกาหลีใต้และจีนไต้หวันดูจะรุนแรง  แต่เราก็จะเห็นว่าบ้านเมืองของเขามีความเจริญ และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีความเจริญในทุก ๆ ด้าน  ดังนั้นการบอกว่าสังคมที่มีความวุ่นวายในประชาธิปไตยแล้วจะทำให้สังคมมีความไม่เจริญรุ่งเรืองนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นจริงอย่างที่กล่าวหาเลย    หรือการแสดงบทภาพยนตร์ในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวจะมีลักษณะของความเป็นประชาธิปไตย       เมื่อเกิดปัญหาจะมีการนำมาพูดอย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องเกรงใจ เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ นั้นบังเกิดความถูกต้อง   มิใช่เป็นสังคมแบบเกรงใจจนเกิดความเกรงกลัวอย่างที่เป็นอยู่ในสังคมแบบไทย ๆ ทุกวันนี้      จึงทำให้เป็นเหยื่อของนักเผด็จการที่ครอบงำสังคมไทย    อันเนื่องจากไม่ได้มีการฝึกความเป็นประชาธิปไตยซึ่งมาจากรากฐานในระบบครอบครัว หรือที่บ้าน
              ประชาธิปไตยในโรงเรียน/สถาบันการศึกษา     สถานศึกษาตั้งแต่ระดับโรงเรียน และสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาล้วนมีความสำคัญต่อการวางรากฐานประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง   เพราะเหตุว่าโรงเรียนและสถาบันการศึกษาจะเป็นองค์กรที่เป็นตัวเบ้าหลอมในเรื่องประชาธิปไตย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในหน่วยงานที่เกี่ยวกับการศึกษายังมีรูปแบบองค์กรแบบราชการ (bureaucracy)  ที่เน้นการทำงานที่สั่งการ และควบคุม (Control and command) จากบนลงล่าง      หากผู้บริหารในแวดวงการศึกษายังติดหรือนิยมแบบอำนาจนิยมก็จะมีบุคลิกภาพที่เน้นตำแหน่งยศศักดิ์ก็จะทำให้ข้าราชการเกิดการหลงลืมตนเองว่าเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าประชาชนและนิยมการบริหารแบบเน้นพวกพ้องก็ยิ่งทำให้ข้าราชการในระดับผู้บริหารเกิดความลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจและทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก, นิยมระบบอุปถัมภ์ซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถพัฒนาคุณภาพที่สามารถแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆบนเวทีโลกได้และในการสอนหนังสือยังมีลักษณะการสอนที่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง(Teacher-centered) ก็ยิ่งส่งเสริมบทบาทให้ครูขาดความเป็นนักประชาธิปไตยได้     และผลวิจัยมักเป็นที่ปรากฎว่าในการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษากลับมีกิจกรรมที่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าในระดับอุดมศึกษาด้วยซ้ำไป  ดังนั้นการแข่งขันในระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง    ทั้งนี้เกิดจากมหาวิทยาลัยมีการรับนักศึกษาในปริมาณมากกว่าจำนวนนักศึกษาที่ต้องการเรียน      จึงทำให้ระบบการศึกษาสนใจในเรื่องการสร้างรายได้มากกว่าการสร้างคนที่มีคุณภาพ      จึงเป็นเรื่องอันตรายในแวงวงทางการศึกษาที่นอกจากไม่ค่อยมีกิจกรรมที่เน้นประชาธิปไตยแก่นักศึกษา     แถมผู้บริหารในมหาวิทยาลัยกลับมีลักษณะต่อต้านและไม่ส่งเสริมบรรยากาศแบบประชาธิปไตย   ทำให้นักศึกษาในยุคปัจจุบันขาดการตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยแต่กลับไปตื่นตัวในการเมืองภาคประชาชนเท่านั้น      ซึ่งหากนักศึกษาเป็นแกนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความคิดของสังคมจะมีคุณภาพมากกว่า   ทั้งนี้นักศึกษามีความรอบรู้และมีเหตุผล และเข้าใจในอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ดีกว่า       แต่ปัจจุบันหลายมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้ส่งเสริม จะมีแต่เพียงบางมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่ความตื่นตัวกลับไปอยู่กับนักวิชาการ และอาจารย์เท่านั้น     ซึ่งผิดกับประเทศเกาหลีที่นักศึกษามีความตื่นตัวทางการเมืองแบบประชาธิปไตยค่อนข้างสูง  มีการจัดระเบียบวินัยในการรณรงค์ทางการเมือง และร่วมตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารทางการเมือง และผู้บริหารของภาครัฐได้เป็นอย่างดีและมีวินัย ทำให้ประเทศเกาหลีมีระดับขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศที่เหนือกว่าประเทศไทยหลายเท่าตัว  ทั้ง ๆ ที่ประเทศเกาหลีต่างเป็นประเทศที่เจริญสู้ประเทศไทยไม่ได้  สิ่งนี้สะท้อนถึงการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยในหมู่นักศึกษามีความไม่เข้มแข็งและนับวันยิ่งจะอ่อนแอลงอันเนื่องจากระบบการศึกษาของไทยไม่เอื้อต่อการพัฒนาประชาธิปไตย    การถกเถียงอภิปรายแสดงความคิดเห็นในรั้วมหาวิทยาลัยนับวันจะมีน้อยลง       ดังนั้นหากผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่ปิดกั้นการแสดงออกทางด้านเสรีภาพและคอยกีดกันและสร้างกำแพงประชาธิปไตยแล้วไซร้     สังคมไทยจึงทำให้เกิดจุดอ่อนอันเนื่องจากการเมืองภาคประชาชนยังมีลักษณะขาดความเข้มแข็ง         การก่อการจราจรหรือ ม๊อบของคนบางกลุ่มบางครั้งก็มุ่งโจมตีแต่เรื่องส่วนตัวมากกว่าการเป็นเวทีที่เน้นย้ำความเป็นประชาธิปไตยที่สร้างจิตสำนึก แต่บางครั้งกลายเป็นเรื่องยั่วยุให้มีความเกลียดชัง และสร้างความไม่พอใจให้กับสังคม  จึงทำให้ขาดระเบียบวินัยเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น      และบางครั้งอาจเป็นการใช้ประชาธิปไตยที่มากล้นจนกลายเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นอีกด้วย        ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วเราจะพบว่าคนในสังคมจะมีระเบียบวินัยรู้จักกติกา ไม่ละเมิดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง และมิใช่กฎเกณฑ์นั้นมีไว้ใช้กับคนบางกลุ่มหรือในกลุ่มผู้ถูกปกครองเท่านั้น แม้แต่ชนชั้นปกครองก็ต้องระวังในการรักษากฎเกณฑ์กติกาไว้ และยิ่งต้องมีจิตสำนึกทางด้านประชาธิปไตยที่มีมากกว่าผู้ถูกปกครอง   เพราะหมายถึงการเป็นแม่แบบหรือแบบอย่างของนักประชาธิปไตยที่ผู้ถูกปกครองสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้อง     เปรียบเสมือนแม่พิมพ์ประชาธิปไตย มิใช่แม่ปูประชาธิปไตยจึงจะทำให้การเรียนรู้ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จได้หากผู้นำเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว      ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรบรรจุหลักสูตรที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยในทุกวิชา และสอดแทรกความคิดรวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้เรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง(Student Centred)  และจะเป็นการบริหารแบบสมดุล แทนที่จะเน้นหลักสูตรที่จบไปเพื่อทำมาหากินแต่เพียงอย่างเดียว  หรือเน้นเศรษฐกิจโดยไม่เน้นการบริหารแบบประชาธิปไตยก็จะทำให้คนมุ่งเน้นแต่วัตถุนิยมหรือปากท้องเท่านั้น   ทำให้ความมีอารยะของการอยู่ร่วมกันมีความไม่ประณีตมากขึ้น   เพราะคนเราอาจเพาะความเห็นแก่ตัวมากกว่าชาติบ้านเมือง และนำไปสู่การขาดจริยธรรมเพราะเน้นแต่ความร่ำรวยของตนเอง   จนละเลยหรือลืมหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีทางด้านประชาธิปไตยไปได้       นอกจากนี้ยังอาจเป็นการเพาะกิเลสในตัวคนมากขึ้น   ทำให้เกิดการอยากได้ใคร่ดีในวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง      ซึ่งคนในสังคมทุกคนควรตื่นตัว และหาวิธีแก้ไขกฎระเบียบกฎเกณฑ์ที่ขัดต่อวิถีทางประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่  ซึ่งในปัจจุบันพบว่าคุณธรรม และจริยธรรมของคนในสังคมมีความเสื่อมโทรมไปมาก      ผู้กำหนดนโยบายของรัฐอาจมีความตั้งใจดี แต่ขาดการบริหารระบบที่เชื่อมโยงในทุกภาคส่วนแล้วก็จะทำให้เกิดความหละหลวมของระบบ   ทำให้เกิดปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกหย่อมหญ้า    ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณในการบริการประชาชนไปอย่างน่าเสียดาย และจากการจัดอันดับการคอรัปชั่นในเอเชียเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาปรากฏว่าประเทศไทยถูกจัดอันดับการคอรัปชั่นอันดับที่สองรองจากประเทศฟิลิปปินส์    ซึ่งคะแนนเต็ม 10 คะแนน ของไทยได้คะแนน 8.1 ส่วนฟิลลิปปินส์ได้ 9.4

 ประชาธิปไตยในที่ทำงาน กล่าวคือเป็นประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์ในสถานที่ทำงานในทูกรูปแบบเท่าที่พอจะทำได้ เช่นทั้งประชาธิปไตยในภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งในการทำงานอาจมีข้อจำกัด หากมีการเปลี่ยนแปลงกติกาในสถานที่ทำงานเพื่อให้เกิดบรรยากาศประชาธิปไตยในที่ทำงานซึ่งพอจะมองประเด็นในการส่งเสริมประชาธิปไตยได้ดังนี้
         1. ประชาธิปไตยในการทำงานระบบราชการ ซึ่งในภาครัฐโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแก่นแกนสำคัญของประชาธิปไตยคือ ประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัยควรมีกฎหมายที่ส่งเสริมประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นบุคลากรชั้นปัญญาชน  หากสถาบันการศึกษายังไม่มีบรรยากาศประชาธิปไตยแล้วก็จะทำให้เกิดอำนาจระบบเผด็จการที่นำมาใช้กับมหาวิทยาลัย เ่ช่นการออกคำสั่ง หรือระเบียบกฎเำกณฑ์นั้นต้องระแวดระวังว่าไม่ใช่เกิดจากประชาคมในมหาวิทยาลัย รวมถึงเกิดจากชุมชนในท้องถิ่นที่เข้ามามีส่วนร่วม หรือในโรงเรียนควรให้สมาคมผู้ปกครองมีบทบาทในการนำเสนอแนะ และผลักดันให้โรงเรียนปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับความต้องการของสมาคมผู้ปกครอง  และในการบริหารมหาวิทยาลัยการแต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัย รวมถึงสภาคณาจารย์และข้าราชการ แม้กระทั่งการเลือกตั้งอธิการบดีควรให้นักศึกษามีบทบาทในการเลือกตั้ง หรือมีสัดส่วนในการเลือกบุคคลที่เป็นผุ้บริหารมหาวิทยาลัย  หากไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาแล้ว ก็จะทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยปฏิบัติงานที่เอาใจเฉพาะข้าราชการอาจารย์ที่คัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในวงแคบเพราะเป็นการเลือกจากกรรมการสรรหาคณบดี และอธิการบดี ทำให้มีการล๊อบบี้กรรมการสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสรรหาได้อย่างง่ายดาย  ทำให้ผู้ได้รับอำนาจไม่ได้มาจากระบบคุณธรรม แต่อาศัยการฝากฝังจากกรรมการสรรหา  ดังนั้นสิ่งสำคัญคือควรใช้กรรมการสรรหาทำหน้าที่เป็นเพียงตรวจสอบคุณสมบัติเท่านั้น  แต่ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาคมทั้งหมด ตั้งแต่อาจารย์, ข้าราชการ,และนักศึกษา และเจ้าหน้าลูกจ้างประจำ ในแง่สัดส่วน  แต่ที่สำคัญคือสัดส่วนของนักศึกษาควรมีความสำคัญมากที่สุด เพราะการบริหารมหาวิทยาลัยควรตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษาฅซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนมาก รองลงมาเป็นข้าราชการอาจารย์ และรองลงมาเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการ และลูกจ้างประจำตามลำดับ เกณฑ์ขึ้นอยุ่กับสัดส่วนประชากร  และที่สำคัญคือวิธีการเลือกตั้งควรมีการหาเสียง, การหยั่งเสียง, การดีเบตเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป  เหตุที่ทำเช่นนี้เพื่อให้ระดับชั้นปัญญาชนได้ตื่นตัวต่อประชาธิปไตย หากคิดว่าวิธีการเช่นนี้มีปัญหาก็อาจใช้วิธีการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุบุคคลในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีคุณวุฒิวิชาการที่ดีมีคุณภาพ และมีการทดสอบความเป็นนักประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสมรรถนะสำคัญอย่างหนึ่งของการพิจารณา และรองลงมาคือวิสัยทัศน์ในการทำงานเพื่อมหาวิทยาลัยเพื่อความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัย  มิใช่การบริหารงานที่มีการผูกขาดอำนาจอยู่กับกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียว และเกิดการสร้างอาณาจักร และไม่สามารถทำงานเพื่อประชาชนได้เป็นอย่างดี

   2. ประชาธิปไตยในภาครัฐวิสาหกิจ เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกันภาครัฐที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจควรได้ให้พนักงานรัฐวิสาหกิจได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการประชุม,การฝึกอบรม,การใช้ระบบข้อเสนอแนะ (suggestion system) ควรเป็นประชาธิปไตยที่เน้นประสิทธิภาพในการทำงาน หรือการทำงานเป็นทีมเพื่อให้เกิดความสามัคคี  ในการคัดเลือกบุคลากรควรใช้ระบบคุณธรรม (merit system) เป็นการเปิดกว้างเพื่อให้คนดีมีความสามารถเข้ามาปฏิบัติงานเพื่อให้องค์การรัฐวิสาหกิจเข้มแข็ง และผลจากประสิทธิภาพช่วยให้รัฐวิสาหกิจมีกำไร และสามารถช่วยผ่อนภาระของรัฐบาลนำไปสู่การสร้างสังคมสวัสดิการแก่ประชาชน  ดังนั้นกำไรที่ส่งให้รัฐส่วนหนึ่งควรเป็นงบประมาณเพื่อสวัสดิการภาครัฐ (welfare country)
      3. ประชาธิปไตยในภาคธุรกิจเอกชน เป็นประชาธิปไตยในการเริ่มต้นตั้งแต่รับสมัครเข้าทำงาน ควรกำหนดวิธีการประชุมผู้ถือหุ้นให้มีการรับฟังความคิดเห็น, การแสดงความคิดเห็นในสถานทีีทำงานเพื่อหาวิธีการทำงานที่ดีกว่า ส่งเสริมพนักงานทำงานเป็นทีม มีระบบการใช้โค๊ชมาสอนงานเพื่อให้เิกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ หรือมีที่ปรึกษา การจ่ายค่าตอบแทนใช้ระบบจ้างค่าตอบแทนตามความเสมอภาค มีกฎระเบียบที่รับฟังบุคลากร หรือการเสนอแนะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์การ เช่นการใช้ระบบข้อเสนอแนะมาใช้ในองค์การ
          โดยสรุป การมีประชาธิปไตยในสถานที่ทำงาน เกิดขึ้นตั้งแต่ผู้ถือหุ้น, การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร, การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง, การว่าจ้างที่ใช้ระบบคุณธรรม และเน้นความเป็นมืออาชีพ และองค์การสามารถหลอมรวมบุคลากรภายใต้ความแตกต่าง ไม่ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ทำให้องค์การมีความคิดคล้อยตามไม่มีการวิพากย์เชิงสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ แต่จะกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความเกรงใจ และไม่เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทำให้องค์การมีประสิทธิภาพ เท่ากับช่วยให้ประเทศชาติมีการทำงานอย่างเป็นระบบ, มีจิตวิญญานประชาธิปไตย เมื่อถึงเวลามีการเลือกตั้งสถานที่ทำงานก็เปิดโอกาสให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วยความสมัครใจ และไม่ถือเป็นวันลา
 4. ประชาธิปไตยในชุมชน  ปัจจุบันเนื่องจากยุคสังคมโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ตื่นตัวโดยกลุ่มรากหญ้า (grass-root democracy) ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย  เพราะกลุ่มคนรากหญ้ามักจะไม่ได้เกี่ยวข้องทางการเมืองมาเป็นเวลานานนับร้อยปี ซึ่งในประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยเป็นอย่างนี้     แต่นับว่าเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องเสียเพราะเท่ากับประชาชนไทยกำลังยกระดับจากวิถีไพร่ฟ้าไปสู่ประชาชน และจากประชาชนสู่ความเป็นพลเมือง (Civil Society) ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองหรือคนชั้นสูงอาจไม่คุ้นเคยต่อการตื่นตัวของประชาชนในชนบท หรือวิถีชุมชน เมื่อประชาชนมีความฉลาดทางประชาธิปไตยก็จะมีข้อดีคือประชาชนจะไม่สนใจการซื้อเสียงของบุคคลที่สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้การเมืองไทยต่อไปนี้แม้ว่าผู้ที่รับเลือกตั้งจะชี้ชวนให้ซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างไรก็ดี ก็ไม่สามารถซื้อใจประชาชนได้  ซึ่งเกิดขึ้นกับประเทศไทยทั้งประเทศ ซึ่งหลังจากเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรากหญ้าได้เรียนรู้ และศึกษาจนเข้าใจถ่องแท้ถึงสิทธิ, เสรีภาพ,ความเสมอภาค รวมทั้งภราดรภาพ  ซึ่งในอนาคตก็จะเป็นทุนมนุษย์ประชาธิปไตย (Democratic human capital) ซึ่งนับว่าเป็นความตื่นตัวเกิดขึ้นก่อนและมีหลายประเทศได้นำไปแบบอย่าง มิได้แปลว่าต่างประเทศจะรังเกียจความตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตย  ดังนั้นจึงปรารถนาให้คนไทยทุกชนชั้นดีใจกับปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในทางบวกดีขึ้น  หากเรามีจิตใจเชิงบวก เราก็จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น   ความเลวร้ายของความเข้าใจผิดที่ผ่านมากลับช่วยบ่มเพาะจิตสำนึกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกสาขาอาชีพและวิถีชุมชน  ซึ่งพร้อมจะก้าวต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครจะหยุดยั้งได้  เปรียบเสมือนสึนามีทางความต้องการของประชาชนขนานใหญ่  ยิ่งมีแรงต่อต้านจากกลุ่มบุคคลที่ไม่รักประชาธิปไตยเท่าใด ก็ยิ่งเท่ากับเติมเชื้อพลังประชาธิปไตยอย่างรวดเร็วมากขึ้น  ไม่ว่าจะเดินไปในทางที่ดี หรือทางเลวร้ายก็ตาม  สิ่งสำคัญคือคนไทยมีทุนมนุษย์ หรือทุนทางสังคมประชาธิปไตยที่ไม่แพ้ประเทศอื่นในโลกนี้ ต่อไปประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างดี  บุคคลที่เป็นศัตรูต่อประชาธิปไตยหรือต่อความต้องการของประชาชนก็จะไม่ช่วยให้มีผลดี แต่จะไม่สามารถอยู่ในสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการได้ แม้การหาเสียงเลือกตั้งปัจจุบันนี้ดูประหนึ่งว่าจะพลังของเสียงส่วนน้อยที่ต้องการวิถีทางการปกครองแบบประเพณีนิยมก็ตาม  แต่ท้ายที่สุดบุคคลเหล่านี้ก็จะหันมายอมรับการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยในท้ายที่สุดก็จะยอมรับอย่างเต็มที่  นี่คือปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแน่นอน
 5. ประชาธิปไตยในสื่อมวลชน ได้แก่สื่อหนังสือพิมพ์,สื่อวิทยุโทรทัศน์,สื่อออนไลน์,สื่อที่ผ่านมือถือ ฯลฯ  การที่ประชาชนเข้าถึงสื่อสารข้อมูลโดยเฉพาะรายการโทรทัศน์จะไม่เอนเอียงเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สื่อที่รายงานตามข้อเท็จจริงคือสิ่งที่เป็นหัวใจประชาธิปไตย หากสื่อเป็นผู้บิดเบือนและไม่ได้รายงานผลสื่อตามความเป็นจริงทำให้เกิดการสื่อข่าวสารผิด ๆ ให้กับประชาชน นำไปสู่ความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลือนได้ หรือไม่ควรละเลยหรือกระตือรือร้นเพื่อนำความจริงมาสู่สังคม ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และความเป็นธรรมทางสังคม หากสื่อรับใช้นายทุน หรือรับใช้บุคคลที่มีอำนาจอย่างเดียวก็เท่ากับว่าสื่อมีความเกรงใจผู้มีอำนาจ เหมือนกับองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตัดสินหรือดำรงความถูกต้องยุติธรรมได้ เท่ากับสังคมมีการเลือกปฏิบัติในการสื่อสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายที่ตนมองเห็นว่าได้รับผลประโยชน์  สื่อจึงอาจเป็นเครื่องมือในการประหารการรับรู้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ดังนั้นสื่อสารมวลชนในระบบประชาิธิปไตยควรทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา โดยเข้าข้างสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะกลายเป็นการทวนกระแสกับประชาชนที่ต้องการความยุติธรรม และกลับเป็นสิ่งยั่วยุให้คนในชาติขาดความสามัคคีได้ สื่อจึงควรมีบทบาทที่จะต้องเข้าถึงเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องตีความถึงการเผยแพร่ให้สังคมรับรู้  และที่สำคัญสื่อต้องให้ความสำคัญกับพลังของเสียงส่วนใหญ่ มิใช่ให้ความสำคัญกับพลังของเีสียงส่วนน้อย เพียงแต่มีการเคารพพลังเสียงส่วนน้อย  และนี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่มิใช่ทำตามอารมณ์ความรุ้สึกโดยไม่ยึดโยงกับหลักการทำสื่อเพื่อสังคม หรือยึดโยงกับผลประโยชน์โดยขาดอุดมการณ์ทำสื่อ  หากคิดว่าสื่อที่ทำไม่ใช่สื่อที่ดี ผู้ทำหน้าที่สื่อก็ควรแสวงหางานใหม่ที่ทำประโยชน์ให้สังคม ดีกว่าการไปรับใช้สิ่งที่ทำลายสังคม หรือย้ายงานไปอยู่สื่อใหม่ที่ดีกว่า หรือสร้างสื่อใหม่ที่ทำให้เป็นตัวของตัวเอง และอุดมการณ์ที่ถูกต้อง แต่สื่อหลายสื่อที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและเที่ยงตรงก็มักจะเป็นสื่อใหม่เป็นสื่อปฏิรูป การหาข้อเท็จจริงก็เป็นสิ่งสร้างสรรค์ ซึ่งต่างกับสื่ออนุรักษ์นิยมที่มีความเปลี่ยนแปลงน้อย มีแต่เพียงรูปแบบทันสมัย แต่ความคิดอ่านหรือคนทำหน้าที่สื่อยังไม่พัฒนาก้าวไกล อาจมีเพียงบางคนที่ทำหน้าที่ได้ีดี   ดังคำประกาศสิทธิมนุษยชนปี ค.ศ. 1948 ระบุไว้ว่า "ทุกคนมีสิทธิในความอิสระในความคิดเห็นและการแสดงออก"  สิทธินี้ได้แก่เสรีภาพในการยึดถือความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ และแสวงหา,การส่งข้อมูลข่าวสารโดยผ่านสื่อได้โดยไม่ถูกสะกัดกั้น แม้ว่าข้อมูลข่าวสารอาจไม่ถูกต้องบ้าง แต่ก็ต้องค้นหาความจริง  สำหรับผู้แสดงที่เป็นพันธมิตรเพื่อการพัฒนาสื่อให้ดียิ่งขึ้น และเป็นการปฏิรูปสื่อ ได้แก่ผู้อุปโภคสินค้า หรือลูกค้าหรือประชาชน, ผู้รายงานข่าว,ผลิตข่าว,นักเทคนิค, ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทที่สรรหาสาระสื่อที่เชิญนักคิดวิชาการ,นักวิพากย์ และองค์กร NGO ซึ่งในองค์กร NGO ก็ไม่ควรมีส่วนได้ส่วนเสียกับรัฐบาล  แต่ควรเป็นบุคคลที่เป็นกลาง หรือถ้าจำเป็นต้องนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาออกรายการ ควรจัดให้ทั้งสองฝ่ายที่เป็นคู่ความคิดเห็นแตกต่าง แต่ผู้จัดการรายการควรมีความรู้ที่จะประสานความคิดให้เกิดเอกภาพ แต่มิใช่เป็นการเชิญมาพูดให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะหรือบาดหมางใจกัน หรือผู้จัดการรายการควรวางตนเป็นกลาง  นอกจากนี้ยังมีสถาบันฝึกอบรม,มหาวิทยาลัย, นักกฎหมายอิสระ,นักวิชาการอิสระ (อิสระที่เป็นมืออาชีพ มิใช่อิสระที่มีฝักฝ่ายหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับพรรคการเมือง) การติดตามสื่อ (เช่นหน่วยงานที่ทำโพลล์การเมือง, หน่วยงานที่ดูแลนโยบาย,กลุ่มอาสาสมัคร,รัฐบาลและนักโฆษณา และองค์กรวิชาชีพ และนักหนังสือพิมพ์ ฯลฯ
        ถึงเวลาที่สื่อสารมวลชนทั้งหลายควรปฏิรูปอย่างสร้างสรรค์ ไม่สนับสนุนการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่ใช่ความจริง หรือมีการบิดเบือนเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  หากสื่อไม่เข้าข้างและวางตนเป็นกลางก็จะกลายเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ หากจะเป็นการเข้าข้างก็เป็นการเข้าข้างสิ่งที่ถูกต้อง,สิ่งที่เป็นธรรม,สิ่งที่ทำให้ส่วนรวมสังคมดีขึ้น และในโลกนี้สื่อไม่สามารถปิดบังอำพราง เพราะโลกนี้เป็นโลกาภิวัฒน์ที่โลกนี้แคบลง และคนทั้งโลกจ้องมองมาดูประเทศที่มีอาการปัญหาการเมืองที่ผิดปรกติอย่างไ่ม่ละสายตา เหมือนคนตามหนังนิยายเนื่องจากมีความรู้สึกร่วมกันของโลกเรา

 8. ประชาธิปไตยในหมู่ข้าราชการพลเรือน,ทหาร,ตำรวจ ซึ่งสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันมีผู้วิเคราะห์กลายเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้จดทะเบียน และมีการใช้อำนาจแบบอมาตยาธิปไตย (bureaucratic polity) ซึ่งในจำนวนข้าราชการ,ทหาร และตำรวจก็มีข้าราชการจำนวนมากที่รักประชาธิปไตยถึงแม้ฝ่ายข้าราชการกลับเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม และไม่เท่าทันต่อกระแสโลกในยุคโลกาภิวัฒน์เพราะระบบราชการเคยชินกับการทำงานประจำ  แต่ข้าราชการมีน้อยคนที่จะเดินทางไปดูงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประชาฺธิปไตยที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่การดูงานมักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหรืองานในกระทรวง,ทบวง,กรม นั้น  ความเคยชินในการรับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในทางราชการ หรือระเบียบแบบแผนทางราชการมีความเป็นระบบการทำงานแบบขุนนางแบบยุคก่อนซึ่งยังมีการเปลี่ยนแปลงกันน้อยมาก  ทำให้ข้าราชการจำนวนมากยังติดระบบการทำงานแบบเก่าแก่และไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง  ในยุครัฐบาลทักษิณมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบซีอีโอ ซึ่งต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ตัวแบบตลาด (market model)ที่เรียกว่า "entrepreneur government" เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีความสามารถเป็นพ่อค้า หรือสามารถทำเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดให้เจริญขึ้น และสนับสนุนการกระจายรายได้ให้กับประชาชนเพื่อยกระดับคนจนให้มีฐานะเศรษฐกิจดีขึ้น  แต่เมื่อมีการเชิญปรมาจารย์จากต่างประเทศเช่น ไมเคิล พอร์ตเตอร์ และทอม ปีเตอร์ เป็นกูรูอันดับ 1 และอันดับ 3 ของโลกมาอบรมให้ความรู้กับผู้ว่าซีอีโอ การณ์ปรากฎว่าผู้ว่าราชการจังหวัดยังเคยชินกับระบบเก่า ๆ แบบขุนนางราชการไม่สามารถตอบสนองในการรับความรู้ที่เป็นประโยชน์ และสังเกตว่าผู้ว่าราชการจังหวัดที่เข้าอบรมมีการหลับไหล, และไม่ค่อยกระตือรือร้นในการรับฟังความรู้วิชาการ ซึ่งธรรมดาผู้ว่าราชการจังหวัดเคยชินกับการทำงานที่รับคำสั่งจากส่วนกลาง ตัดสินใจเองก็ไ่ม่กล้าเพราะเกรงว่าจะผิดพลาด ดังนั้นการทำงานของผู้ว่าราชการจึงไม่นิยมความเสี่ยง แต่เน้นความมั่นคงในตำแหน่งมากกว่า  จึงก่อให้เกิดแรงต่อต้านนโยบายของรัฐในยุคนั้น  เพราะหากผู้ว่าราชการไม่มีผลงานก็จะถูกปรับเปลี่ยน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นของรัฐบาลอาจเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป และข้าราชการส่วนใหญ่ยังตามไม่ทันจึงเกิดกระแสการต่อต้านมากขึ้นเพราะไม่เคยชินกับแนวคิดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น  แต่สิ่งที่รัฐบาลทำก็มีความคาดหวังให้ข้าราชการทำประโยชน์หรือรับใช้บริการให้ประชาชนดีขึ้น    ส่วนข้าราชการทหารที่มีจิตใจแบบประชาธิปไตยนั้นค่อนข้างมีน้อย และไม่ลึกซึ้งกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะวิถีชีวิตของทหารคุ้นเคยอยู่ภายในกรมกอง และไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบประชาชนทั่วไป การดำเนินกิจกรรมจึงมักเกี่ยวข้องกับคำสั่ง ต้องอยู่ในระเบียบวินัย ทำให้ไม่ค่อยได้รับรู้โลกความเป็นจริง และวิถีชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป แต่ในปัจจุบันมีกลุ่มทหารจำนวนมากพอสมควรที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านเมือง และต้องการประชาธิปไตยเหมือนกับประชาชนโดยทั่วไป  แต่บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากระบบราชการกลับมักเป็นผู้ที่ไม่นิยมระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย  ซึ่งสังเกตได้ว่านายทหารที่มีตำแหน่งมักไม่ให้ความสำคัญกับอำนาจของประชาชน หรือการมีสิทธิเสรีภาพของประชาชน  การที่ทหารมีชีวิตไม่ผูกติดกับประชาชนหรือความเดือดร้อนของประชาชนทำให้จิตสำนึกในการรับใช้บ้านเมืองแบบนายทหารอาชีพมีน้อยลง และมักมีการวิ่งเต้นเส้นสายตำแหน่งกันมาก ทำให้นายทหารที่เป็นคนรับใช้ประชาชนตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงมีน้อย มีแต่เพียงระดับรอง ๆ ลงมา และผู้มีจิตใจแบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถแสดงออกอย่างเต็มที่  แต่มีลักษณะอึดอัดใจและคับข้องใจกับทหารที่ไม่รักประชาธิปไตย   แต่ปัจจุบันทหารได้ตื่นตัวกันมาก และยอมรับว่าการรัฐประหารไม่ได้ช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น กลับทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายลง และเืมื่อใดก็ตามที่มีการรัฐประหารจะสังเกตุว่าประเทศก็มักจะถอยลงเกือบทุกครั้ง เพราะทหารไม่ถนัดกับงานของบ้านเมือง และเมื่อมามีตำแหน่งทางการเมืองก็มักกำหนดงบประมาณทางด้านความมั่นคงของสูง ทำให้เงินที่จะพัฒนาชาติบ้านเมืองเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนเพื่อการกินดีอยู่ดีเสียหายไป ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายทหารคิดว่าพยายามทำอย่างดีแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ จนบ้านเมืองมีความขัดแย้งมากขึ้น ดังนั้นทหารจึงควรยอมรับบทบาทของตนเองว่างานบ้านเมืองเป็นของประชาชน แต่ควรทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติจะดีกว่า และสิ่งสำคัญในอัจฉริยะประชาธิปไตยของนายทหาร คือต้องส่งนายทหารไปดูงานการเมืองแบบประชาธิปไตย, และการกำหนดบทบาทนายทหารที่พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตยและประชาชน จึงจะเป็นนายทหารที่มีเกียรติยศ และเป็นที่วางใจของประชาชนทั้งประเทศ  โดยที่นายทหารต้องระวังไม่เป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมือง แม้แต่ผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือกว่าก็ต้องนำมาตัดสินวิเคราะห์เพื่อรักษาประชาธิปไตยให้เจริญก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น  ดังที่นายทหารระดับนายพลของประเทศอินโดนีเซียได้ประกาศก้องว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศโดยไม่คอรัปชั่น และเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี จนเป็นที่ยอมรับของประชาชน    ส่วนข้าราชการตำรวจหรือทหารเรือกลับเป็นข้าราชการที่มีความเข้าใจประชาชนมากที่สุด และมีชีวิตที่มีเวลาอยู่กับพื้นที่ของประชาชนจึงเข้าใจปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะอาชีพตำรวจอยู่กับพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนทุกวัน จึงทำให้ลึกซึ้งกับวิถีชีวิตของประชาชนว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมถูกต้อง  ทำให้ตำรวจกลายเป็นข้าราชการที่รักประชาธิปไตยมากพอ ๆ กับทหารเรือ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยควรส่งเสริมข้าราชการให้มีจิตสำนึกจิตวิญญาณประชาธิปไตยโดยไม่ใช่มุ่งแต่การแสวงหาอำนาจนอกระบบ,นอกกติกา จนบ้านเมืองทุกวันนี้มีวิกฤติอยู่ทกวันนี้
 9. ประชาธิปไตยในเอเชีย และประชาธิปไตยในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในเอเชียส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาไปที่ช้ามาก การเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยในเอเชียมีลักษณะของการใช้อำนาจจากชนชั้นนำซึ่งมักเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งประเทศที่เคยมีการรัฐประหารมาแล้วแต่ในปัจจุบันก็สงบลงได้แก่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเมืองตกเป็นของฝ่ายรัฐบาลมาตลอด เป็นการเมืองที่มีลักษณะการช่วงชิงอำนาจกัน หากประเทศใดที่มีการรักษากลไกประชาธิปไตยที่อ่อนแอที่สุดได้แก่ประเทศพม่าเพราะเป็นการปกครองแบบรัฐบาลทหารพม่า และมีการกักกันอองซาน ซูจี ไม่ให้มีบทบาททางการเมือง ทั้ง  ๆที่อองซาน ซูจีได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด แต่เนื่องจากกลุ่มของอองซาน ซูจีมีเพียงคนในเมืองที่มีการศึกษาดีต้องการประชาธิปไตย ส่วนในชนบทห่างไกลก็มักจะมีชนกลุ่มน้อยเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่อำนาจรัฐของพม่าเิกิดจากปลายกระบอกปืน ทำให้ประเทศพม่าไม่ได้เปิดประตูสู่โลกเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย  ส่วนของไทยนั้นความตื่นตัวประชาธิปไตยนั้นมีมากกว่า และได้ผ่านเวทีแห่งประชาธิปไตยมาหลายครั้ง ทำให้แนวทางการปกครองที่ชนชั้นนำพยายามครอบงำอำนาจ และผลประโยชน์แห่งชาติค่อนข้างทำได้ลำบาก   ส่วนในแถบตะวันออกกลางภายหลังการเรียกร้องประชาธิปไตยของชนชั้นรากหญ้า (grass root democracy) ซึ่งคล้ายคลึงกับประเทฅอินเดีย    นายไมเคิล วาติคิโอติส ได้ตั้งข้อสังเกตประชาธิปไตยในเอเีชียมีลักษณะพอสรุปดังนี้สาเหตุที่ประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชียมีลักษณะผิดรูปผิดร่างดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทางสังคมวัฒนธรรม เกิดขึ้นช้ามาก ทำให้ต้องยอมรับในระบบอุปถัมภ์
2. ในด้านเศรษฐกิจ ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในชนบทยังยากจน ยังต้องได้รับการอุปถัมภ์จากผู้นำ
3. การปกครองแบบปิตุลาธิปไตยยังมีอยู่ กล่าวคือ การปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น เน้นและให้ความสนใจในเชิงความหมายมากกว่าจะนำมาปฏิบัติจริง นี่คืออุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตย
ความเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยในภูมิภาคที่เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ
1. ประชานิยม อันเนื่องมาจากในปี 1997 ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในระดับชนชั้นนำ เพราะสูญเสียผลประโยชน์ในเงินเป็นจำนวนมาก
2. สื่อสังคม เช่น สื่อออนไลน์นั้น ถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการหาเสียงประชานิยมในวงกว้าง ทำให้มีประชานิยมที่มีการแพร่กระจายมากขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงในประชาสังคม มีการรวมตัวของประชาชนเป็นประชาสังคมรวมกลุ่มกันเพื่อท้าทายอำนาจเดิมมากขึ้น และเมื่อประชาสังคมมีอำนาจที่เข้มแข็งจะช่วยเกื้อหนุนให้การปกครองแบบ ประชาธิปไตยแข็งแกร่งไปด้วย โดยที่ชนชั้นนำแบบเดิม จะออกไปตบแต่งตัวเองให้มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นและนำเสนอให้เห็นว่า ตนเข้ามามีอำนาจในการปกครองเพื่อรับใช้ประชาชน     สุดท้ายเราต้องทำให้ภาคประชาสังคม มีบทบาทสำคัญมากขึ้น อย่างที่ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้กล่าวกับประเทศอินโดนีเซียว่า เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็ง มั่นคง ก็เพราะมีภาคประชาสังคมและมีประชาชนที่ตื่นตัว อย่างไรก็ตาม การมองแบบชาติตะวันตก บ่อยครั้งก็มักจะเป็นการมองแบบ การนำประเทศหนึ่ง ที่คิดว่ามีเสรีภาพ มีประชาธิปไตยแบบเต็มขั้นแล้ว ไปสวมใส่ในอีกประเทศหนึ่งที่มีเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยไม่เท่ากับแบบ แรก จากนั้นก็วิเคราะห์สถานการณ์ของประเทศนั้นๆ โดยหลงลืมบริบทหรือขีดจำกัด หรือเงื่อนไขสำคัญของแต่ละประเทศไป     (จากงานสัมมนา ประชาธิปไตยและการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพโดย Michael Vatikiotis, ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค the Geneva)   ซึ่งกล่าวโดยสรุปการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจในชนชั้นนำ และหากประเทศขาดการกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง หรือมีการกดขี่เช่นตะวันออกกลางก็จะมีการลุกฮือเพี่อเรียกร้องให้ผู้นำไ้ด้ลาออกไป   ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำหากจัดการผลประโยชน์โดยไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงให้กับทุกชนชั้นแล้ว ก็จะเกิดการต่อต้านอีกชนชั้นหนึ่ง   ดังนั้นความคาดหวังของประชาชนในเอเชียต้องการให้กระจายผลประโยชน์ได้อย่างสมดุล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายในทางปฏิบัติ  แต่ต้องมองประชาธิปไตยในทุกชนชั้นแบบมิตร หรือแบบปรองดองหรือการประนีประนอม และลดการแข่งขันกันก็จะลดปัญหาเกี่ยวกับประชาธิปไตยต่างระดับชนชั้นได้   และการตัดสินใจในทางประชาธิปไตยหรือการครอบงำส่วนใหญ่เป็นไปตามหลักนักวิชาการที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงมาจากชนชั้นนำ และการตัดสินใจนั้นมาจากเบื้องบน" (change from the top and decisions from above)  ซึ่งอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงในเอเชียล้วนมาจากชนชั้นนำ และแรงสนับสนุนจากประชาชน
เหตุผลที่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยอัจฉริยะ  
      การที่สังคมไทยมีการครอบงำประชาธิปไตยมาเป็นเวลานานกว่า 70 ปีมาแล้ว ทำให้ระบบการเมืองของไทยอ่อนแอ ขาดจิตสำนึกทางการเมืองแบบประชาธิปไตย  ซึ่งบุคลิกภาพของชนชั้นนำได้มีการถ่ายทอดความคิดแบบอัตนิยม หรือความนิยมอำนาจค่อนข้างมาก ซึ่งจะสังเกตว่าคนไทยนิยมรับราชการเพราะการเป็นข้าราชการเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ หรือมียศชั้นเป็นที่เกรงกลัว หรือเกรงใจของประชาชนมาเป็นเวลานาน ข้าราชการไม่ได้มีการปลูกฝังการรับใช้ประชาชนซึ่งประเทศประชาธิปไตยหัวใจสำคัญของการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะว่าข้าราชการนั้นกินเงินภาษีอากรของราษฎร การทำงานราชการจึงไม่ควรเบียดบังราษฎรทั้งในแง่การใช้อำนาจหน้าที่, การไม่บริการประชาชนอย่างเสมอภาคกัน แต่ก็มีข้าราชการที่มีจิตสำนึกที่ดียังคงเป็นข้าราชการที่นิยมรับใช้ประชาชนมากกว่า การเปลี่ยนความคิดจิตใจแบบประชาธิปไตยนั้นนอกจากมีรัฐธรรมนูญที่รับประชาชนที่ดีซึ่งยังไม่เพียงพอ แต่ยังมีองค์ประกอบของการป้องกันการรัฐประหารโดยกลุ่มทหาร ซึ่งเป็นการเอาอำนาจของประชาชนไปใช้กับคนกลุ่มเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศที่มีความก้าวหน้า   ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่มีการรัฐประหาร และประชาชนมีวินัยในเรื่องประชาธิปไตย  แต่การที่สังคมไทยขาดการอบรมกล่อมเกลาในเรื่องประชาธิปไตยมาเป็นเวลานาน ซึ่งบางครั้งก็เกิดกระแสประชาธิปไตย เช่นเหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งความตื่นตัวประชาธิปไตยเกิดจากนักเรียน,นิสิต,นักศึกษา ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ที่เกิดการขับไล่จอมพลถนอม, ประภาส ที่ใช้อำนาจปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งเหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลา 38 ปี  จากนั้นเป็นต้นมาการเรียนรู้ประชาธิปไตยของไทยค่อนข้างอ่อนแอ และขาดความต่อเนืองในการปลูกฝังจิตสำนึกประชาธิปไตย  ไม่เป็นที่ปรากฎว่ารัฐบาลที่สนใจในการอบรมกล่อมเกลาวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย   แต่รัฐบาลในยุคทักษิณ ก็ได้เน้นการบริหารงานแบบมืออาชีพเน้นเศรษฐกิจในโลกาภิวัฒน์  แต่ทักษะเกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้นก็ยังไม่ได้มีการส่งเสริมให้มีความรู้และจิตวิญญาณประชาธิปไตยนั้นตั้งแต่ระดับครอบครัว, โรงเรียน,มหาวิทยาลัย, สถานที่ทำงานไม่ว่าภาครัฐ,ภาคธุรกิจ และรัฐวิสาหกิจ ไม่มีการดำเนินการส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย แต่ัสังคมไทยยังเน้นส่งเสริมวัฒนธรรมแบบระบบอุปถัมภ์ ทำให้การเข้าเรียน, เข้าทำงานกลายเป็นระบบอุปถัมภ์ค่อนข้างมากจนเป็นการบ่อนทำลายวิถีทางประชาธิปไตย  บุคคลที่หวังความก้าวหน้าก็ต้องคอยหาผู้อุปถัมภ์เพื่อเป็นพรรคพวกรวมใจ และไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์ได้ ทำให้สภาพสังคมจึงเกิดมีผู้ตามที่เป็นลักษณะการเออออห่อหมก และในที่ประชุมการแสดงความคิดเห็นจะน้อยมาก มีแต่เพียงการประชุมเพื่อรับทราบ, ประชุมรับคำสั่ง, การทำงานจึงเน้นการใช้คำสั่ง  ก็จะมีเพียงภาคธุรกิจเท่านั้นที่ยังพอมีการแสดงความคิดเห็นกันได้  ดังนั้นจึงพอสรุปสาเหตุที่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยอัจฉริยะ คือ
     1. ประชาชนควรรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ,รัฐสภา,หลักการประชาธิปไตยของปวงชน, การสร้างประชาคมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
     2. ประชาชนควรได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรม,ค่านิยม, และระเบียบกฎเกณฑ์ที่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในการแสดงออกซึ่งการพูด,การเขียน,การแสดงความคิดเห็น  โดยการหลอมวัฒนธรรมที่ส่งเสริมจิตวิญญานประชาธิปไตย  โดยยึดหลักเสรีภาพ,ความเสมอภาค และภราดรภาพ ในทางปฏิบััิติ มิใช่เป็นเพียงทฤษฎี หรือเป็นเพียงนามธรรม แต่ประชาธิปไตยต้องเป็นรูปธรรม
     3. ระบบการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่โรงเรียน,วิทยาลัย,มหาวิทยาลัย ควรรื้อปรับระบบประชาธิปไตยทั้งระบบ การร่างกฎเกณฑ์ควรเกิดจากประชาคมทั้งหน่วยงาน แต่มิใช่เป็นการเขียนกฎเกณฑ์โดยคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะผู้บริหารเท่านั้น  แต่ควรมีแบบจำลองประชาธิปไตยเป็นตัวอย่าง มีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทุกองค์การ
     4. ข้าราชการควรเปลี่ยนเป็นข้าราษฎร เพื่อให้พนักงานองค์การราชการทำหน้าที่บริการ หรือรับใช้ประชาชน ซึ่งหมายความว่าประชาชนเป็นเจ้านาย มิใช่คนที่ทำงานภาครัฐเป็นนายของประชาชน
ดังนั้นควรมีองค์กรภาคประชาชนที่เข้มแข็ง หรือนักวิชาการที่มีจิตใจประชาธิปไตยเข้ามาถ่ายทอดหรือตรวจสอบระบบราชการทั้งระบบให้เป็นระบบการทำงานภาครัฐเป็นของประชาชน
     5. สาเหตุมีการรัฐประหารบ่อยครั้ง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจประชาธิปไตย ดังนั้นการรัฐประหารนั้นกลับทำให้ประเทศไทยล้าหลังในประชาธิปไตย  ดังนั้นประเทศไทยควรล้มเลิกการรัฐประหาร  และอำนาจของประชาชนจึงเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บุคคลที่ก่อการรัฐประหารเท่ากับเป็นการล้มล้างอำนาจของประชาชนซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
     6. การเปลี่ยนแปลงให้คนไทยมีความฉลาดในเรื่องประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการพูด, การเคารพศักดิ์ศรีของประชาชน, การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล, การอคติต่อแนวทางการปกครองแบบประชาธิปไตย  ดังนั้นความฉลาดทางประชาธิปไตยจะทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนตื่นตัว และรักษาประชาธิปไตยให้มั่นคง ซึ่งนั้นหมายถึงประเทศไทยจะเจริญอย่างมากมาย  เพราะประเทศไทยยังไม่เคยลิ้มรสประชาธิปไตยอย่างแท้ัจริงหลังจากการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
     7. อัจฉริยะประชาธิปไตยจะต้องส่งเสริมสื่อประชาธิปไตย การอภิปรายในเชิงประชาธิปไตย บุคคลที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนต้องมีจิตวิญญาณประชาธิปไตย  แต่ในยุคปัจจุบันประชาชนไทยตื่นตัวระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างมากมายทั่วประเทศ ซึ่งนับว่านิมิตหมายที่ดี เพราะประชาธิปไตยไม่ได้ทำลายใคร, ไ่ม่ได้ทำให้ใครเสียผลประโยชน์ แต่ประชาธิปไตยทำให้คนทุกคนได้รับประโยชน์ และได้รับความสุขจากการปกครองเพราะเป็นการปกครองแบบไม่ได้เบียดเบียนประชาชน หรือไม่ได้มีการกดขี่ขูดรีดจากผู้มีอำนาจมากกว่า  ซึ่งเป็นเรื่องดีงามและเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมไทยมองโลกในเง่บวก และช่วยให้ชาติมีเศรษฐกิจมั่นคง,มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ถึงเวลานั้นประเทศจะเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยม และมีศักดิ์ศรีไม่แพ้ใครในโลกนี้
                 สรุป ประชาธิปไตยอัจฉริยะ เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีความฉลาดในเรื่องประชาธิปไตย ในการใช้ประชาธิปไตย, การรณรงค์ประชาธิปไตย, การมีส่วนร่วมภาคพลเมือง เพื่อประกันสิทธิ,เสรีภาพ และความเสมอภาคของสังคม และป้องกันการใช้ประชาธิปไตยที่ผิดหรือประชาธิปไตยที่ขาดปัญญา และอุดมการณ์นำไปสู่ความเสื่อมชองประชาธิปไตยในประชาชน     การส่งเสริมวิถีทางประชาธิปไตยควรเรีมจากหน่วยครอบครัว,สถาบันการศึกษา, สังคม และประเทศชาติ  ซึ่งปัจจุบันประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาก็ประสบปัญหาความเสื่อมและความชลังของประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึงต้นไม้ประชาธิปไตยถูกกรัดกร่อน และอาจทำให้ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นถึงกาลเวลาเสื่อมทรุดในที่สุด   จึงต้องมีการฟื้นฟูปรับปรุงพัฒนาตลอดเวลาเพื่อบำรุงเลี้ยงดูประชาธิปไตยให้ยั่งยืนซึ่งต้องเกิดจากประชาธิปไตยอัจฉริยะของประชาชน

-------------------


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระบบการเมืองที่ดีเหมือนปลาในอ่างแก้วที่มองเห็นตัวปลาชัดเจน

ตัวแบบจำลองภารกิจของแอสริช (Ashridge Mission Model)

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ