กลวิธีการเปลี่ยนแปลงองค์การทางการเมือง เพื่อความสัมฤทธิผล
ปัจจุบันการเคลื่อนไหวเพื่อการเ ปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวบทก ฎหมายที่สำคัญสูงสุดในการปกครอง ประเทศ หากรัฐธรรมนุญที่ได้มีการเปลี่ย นแปลงในลักษณะที่เจือปนในสิ่งที่มิใช่ความต้องการของประชาชนส่ว นใหญ่ย่อมเกิดปัญหาในลักษณะของก ารเรียกร้องที่ไม่มีการสิ้นสุด ดังนั้นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปกครอง จำเป็นต้องมีแนวทางตามที่ Kotter 1995 ที่ผู้นำมักละเลย,มองข้าม หรือประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น ได้แก่
ปัจจัยที่ 1 ต้องมั่นใจว่าความต้องการเปลี่ย นแปลงของผู้นำบริหารนั้น จะต้องมีการพิสูจน์ และมีการสื่อสารชักชวนความต้องก ารการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
ปัจจัยที่ 2 มีการจัดสรรแผนงาน, ผู้นำบริหารจะต้องปรับปรุงทางเล ือกหรือกลยูทธ์เพื่อการเปลี่ยนแ ปลงนั้น ๆ
ปัจจัยที่ 3 จะต้องสร้างแรงสนับสนุนและเอาชน ะการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำบริหารจะต้องสร้างแรงสนับส นุนภายในและลดแรงต่อต้านในการเปลี่ยนแปลงโดยผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแพร่หลายในกระบวนการเปลี่ยนแ ปลง ในท่ามกลางปัจจัยอื่น ๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ปัจจัยที่ 4 จะต้องสร้างความมั่นใจว่าแรงสนั บสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ความผูกพันของบุคคลหรือกลุ่มต่า ง ๆภายในประเทศควรจะเป็นผู้ได้รับ แชมเปี้ยนในฐานะที่ปัจจัย
เหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่ 5 ต้องสร้างแรงสนับสนุนจากภายนอก ผู้นำบริหารต้องพัฒนา และทำให้มั่นใจว่าเป็นแรงสนับสน ุนจากที่มองข้ามทางการเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก
ปัจจัยที่ 6 การจัดสรรทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ มักจำเป็นที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่ างพอเพียงในการสนับสนุนกระบวนกา รเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่ 7 การเปลี่ยนแปลงจะต้องสร้างสรรค์ ให้เป็นสถาบันและขยายผลการเปลี่ ยนแปลง
ปัจจัยที่ 8 มีการนำเอาการเปลี่ยนแปลงอย่างพ ิสดาร ผู้นำบริหารต้องพัฒนาแนวทางเชิง บูรนาการ,มีความละเอียดต่อการเป ลี่ยนแปลงเพื่อบรรลุถึงส่วนประส มของระบบย่อย
สำหรับการเมืองและการปกครองไทย ยังยึดมั่นเหนี่ยวแน่นกับตัวบุค คลมากจนละเลยระบบที่ดีของการเมื องไทย เพราะการสร้างประชาธิปไตยที่ดีม ิใช่การทำลายประชาธิปไตยและยัดเ ยียดสิ่งที่เป็นกติกาที่สังคมไม่ยอมรับเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่กลุ่มต่าง ๆ เคลื่อนไหวยังไม่มีความชัดเจน และยังไม่ยอมรับว่ากติกาต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมาเกิดจากการมีอคติ ต่อตัวบุคคล แต่สิ่งสำคัญต้องเขียนกติกาที่เ ป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้ยึดเอาตัวบุคคลมาเป็นที่ตั้ง มาตรแม้นว่าจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ได้ แต่หากสภาพของระบบพฤติกรรมมนุษย ์ยังไม่เข้าใจ หรือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ไ ม่สามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งทา งสังคมได้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นั้นต้องค่อย ๆแก้ไขไปทีละส่วน ๆ และผู้ต่อต้านทั้งหลายก็ไม่ควรที่จะเอาตัวบุคคลมาเป็นตัวกำหนดเ ป็นกติกาของสังคม แต่ควรวิพากย์วิจารณ์ว่าระบบมัน มีช่องว่างอย่างไร? จะแก้ไขอย่างไร เมื่อแก้ไขที่ระบบแล้ว ก็ไม่ต้องไปห่วงกังวลในตัวบุคคล ซึ่งในเมื่อมาตรฐานการเมืองไทยน ั้นเป็นมาตรฐานทีมีปัญหามาตั้งแ ต่ปี 2475 แล้ว หากจะแก้ไขควรเริ่มตั้งต้นกันให ม่ เพราะมันผิดพลาดมาเนิ่นานแล้ว ดังนั้นการนิรโทษกรรมที่ลบล้างอ คติของคนไทย และการให้อภัยซึ่งกันและกัน จึงจำเป็นต้องมีการลบล้าง และผู้ที่กระทำความผิดอย่างแจ้ง ชัดก็ควรได้รับโทษตามกฎหมาย
ปัจจัยที่ 1 ต้องมั่นใจว่าความต้องการเปลี่ย
ปัจจัยที่ 2 มีการจัดสรรแผนงาน, ผู้นำบริหารจะต้องปรับปรุงทางเล
ปัจจัยที่ 3 จะต้องสร้างแรงสนับสนุนและเอาชน
ปัจจัยที่ 4 จะต้องสร้างความมั่นใจว่าแรงสนั
เหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่ 5 ต้องสร้างแรงสนับสนุนจากภายนอก ผู้นำบริหารต้องพัฒนา และทำให้มั่นใจว่าเป็นแรงสนับสน
ปัจจัยที่ 6 การจัดสรรทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ มักจำเป็นที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่
ปัจจัยที่ 7 การเปลี่ยนแปลงจะต้องสร้างสรรค์
ปัจจัยที่ 8 มีการนำเอาการเปลี่ยนแปลงอย่างพ
สำหรับการเมืองและการปกครองไทย ยังยึดมั่นเหนี่ยวแน่นกับตัวบุค
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น