วิวาทะจำลองระหว่างดไว้ท์ วอลโด กับเฮอร์เบอร์ต เอ.ไซมอนเกี่ยวกับการบริหารในเชิงรัฐประศาสนศาสตร์
Dwight Waldo เป็นนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ (ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913-2000) เป็นผู้ให้คำนิยามของการบริหารภาครัฐสมัยใหม่ เขาเป็นผู้ต่อต้านแนวคิดระบบราชการที่เน้นเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์ และรัฐบาลที่เน้นใช้คำว่าการจัดการภาครัฐแทนที่จะเป็นรัฐประศาสนศาสตร์
จากตำราของเขาที่ชื่อว่า "Administrative State" (รัฐบริหาร) เขาเป็นนักวิชาการที่มีแนวคิดในการโหมกระแสรัฐประศาสนศาสตร์อย่างท้าทายในยุคนั้น ประการแรกเขามีทัศนะว่ารัฐประศาสนศาสตร์
ปลอดจากค่านิยม (หมายถึงเน้นข้อเท็จจริง),ไม่เล่นพรรคเล่นพวก, เป็นสาขาสังคมศาสตร์ทีให้คำสัญญาว่าจะทำให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประการที่สองเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาโต้แย้งว่านักวิชาการสายบริหารได้รับแรงขับเคลื่อนจากปรัชญาทางการเมือง ประเด็นปัญหาสำคัญของปรัชญาทางการเมืองก็คือ
1. โดยธรรมชาติมนุษย์ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า (Good Life) เป็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการสังคมที่ดี
2. กฎเกณฑ์ของการปฏิบัติ หรือวิธีการปฏิบัติที่จะต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน
3. ปัญหานั้นก็คือว่าใครควรเป็นคนถือกฎนี้
4. คำถามก็คือว่าอำนาจรัฐควรจะแบ่งแยกหรือตัดส่วนออกไป
5. คำถามก็คือว่าจะรวมศูนย์อำนาจ หรือกระจายอำนาจ
6. หรือมีคุณธรรมที่สอดคล้องต่อเอกภาพแห่งรัฐและระบบสหพันธรัฐ
จากวาทกรรมจึงมีคำถามจาก ไซมอน (Simon) ว่า "คุณมีความคิดเห็นประการใดเกี่ยวกับการบริหาร
ของรัฐบาลประชาธิปไตยสมัยใหม่"
วอลโด ตอบว่า "การบริหารมักถูกเรียกร้องให้เป็นแก่นสำคัญของรัฐบาลประชาธิปไตยสมัยใหม่ และเรียกร้องให้ช่วยแสดงความสมเหตุสมผลของหลักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ทั้งหลาย นอกจากจะเรียกร้องในเรื่องคุณธรรม ยังหมายถึงว่าทฤษฎีประชาธิปไตยจะต้องเกี่ยวข้องกับการบริหาร และทฤษฎีการบริหารจะต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบประชาธิปไตย ปรัชญาการเมืองแฝงเร้นในนักวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ ไม่ได้มีความเพียรพยายามที่จะช่วงชิงประชาธิปไตย แต่หมายถึงการรักษาประชาธิปไตยให้อยู่ในครรลองด้วย อย่างน้อยข้าพเจ้ามีทัศนะว่าแนวคิดประชาธิปไตยและความวุ่นวายยุ่งเหยิงของประชาธิปไตยจะต้องนำกลับไปสู่ทฤษฎีทางการบริหาร นักวิชาการสายบริหารจะต้องตระหนักว่าหลักการสำคัญที่เรียกว่า "ประสิทธิภาพ" ไม่ใช่การมีค่านิยมที่เป็นกลาง และมิใช่ประสิทธิภาพที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่สบายใจด้วยหลักการประชาธิปไตยซึ่งจะต้องตระหนักในจุดนี้ ในบทความ American Political Science Review ได้แยกแยะให้เห็นการวิพากย์การบริหารของ เฮอร์เบอร์ต เอ.ไซมอน ซึ่งวอลโดมองว่ามันมีความเป็นไปได้ของบริหารศาสตร์ (Science of Administration) ซึ่งพอจะคิดได้ว่าการบริการ (มีข้อจำกัด) ในการเอาใจใส่เกี่ยวกับการตัดสินใจที่เน้นข้อเท็จจริงในฐานะที่ต่อต้านค่านิยม ซึ่งไซมอนมีความเห็นว่าการตัดสินใจภายใต้ข้อเท็จจริงมีความสำคัญต่อสัจจธรรมทางการบริหาร และจะต้องถูกชักนำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่มุ่งตรงต่อเป้าหมายประสิทธิภาพโดยรวม แต่วอลโดยเขาไม่เห็นด้วย โดยเขาโต้แย้งว่าไซมอนนำเอาปัญหามาดัดแปลงโดยใช้หลักการแยกการเมืองออกจากการบริหารเพื่อการแบ่งงานของหน่วยงานเท่านั้น ซึ่งไซมอนก็ตั้งคำถามว่า "ทำไม" ซึ่งวอลโดยก็โต้ตอบว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการรักษาทฤษฎีการบริหารแบบดั้งเดิมนั่นก็คือเน้นเรื่องประสิทธิภาพ ไซมอนก็ถามว่า "และประสิทธิภาพมันจะผิดพลาดอะไร" โดยวอลโดมองว่าประสิทธิภาพไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ทางด้านวิชาการที่คัดค้านการเมือง เพราะว่าการบริหารคือการเมือง ประสิทธิภาพโดยตัวของมันเองแล้วคือการเรียกร้องทางการเมืองต่างหาก ซึ่งไซมอนถามว่าให้ยกตัวอย่างมา วอลโดก็ตอบว่าใครหล่ะจะเป็นผู้ประเมินว่าเป็นประสิทธิภาพของใคร ของห้องสมุดหรือกระทรวงกลาโหม ถ้าหากว่า.. ประสิทธิภาพหมายถึงสัดส่วนปัจจัยนำเข้า(input) และปัจจัยนำออก(output) แต่มีทางเลือกหนึ่งก็คือปัจจัยนำเข้าและนำออกจะต้องประเมินทั้งสองอย่าง แม้ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่เป็นวัตถุประสงค์ที่จะโจมตีได้โดยทางเลือกที่เป็นข้อเท็จจริง ในบรรดาทางเลือกเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยกับการตัดสินใจเชิงค่านิยม ไม่ใช่เพียงข้อเท็จจริง ดังนั้นประสิทธิภาพจึงยากที่จะมีค่่านิยมที่เป็นกลาง (value neutral) (Stone 2002 p. 65) ส่วนไซมอนบอกให้วอลโดช่วยอ่านเนื้อหาส่วนที่เหลือในการปกป้องความคิดของคุณเอง ซึ่งวอลโดให้ทัศนะว่าปัญหาสำคัญของทฤษฎีการบริหารตามหลักประชาธิปไตยในฐาะที่เป็นทฤษฎีประชาธิปไตยทั้งมวล ก็คือทำอย่างไรจึงจะไกล่เกลี่ยกันได้ (how to reconcile democracy) ซึ่งทำให้ไซมอนหายข้อข้องใจ
จากอุธาหรณ์ของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงทางการบริหาร นับว่าทั้งสองท่านเป็นกูรูทางการบริหารศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เมื่อมามองการเมืองไทยที่มีการขัดแย้ง หรือทุ่มเถียงไม่มีวันจบ เพราะไปยึดติดกับวาทกรรมที่มีความคิดแตกต่าง แต่ไม่สามารถรอมชอมกันได้ เช่นการขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะต้องมีการรอมชอมทางความคิดมากกว่าการเน้นเอาชนะตามความคิดเห็นของตนฝ่ายเดียว โดยไม่รับฟังเสียงประชาชน แม้กระทั่งการมุ่งนิรโทษกรรมก็ไม่ได้ไถ่ถามประชาชนก่อน แต่เป็นเพียงผู้มีความคิดเห็นคนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่เสี่ยงภัยต่อการนำไปใช้อย่างผิด ๆ ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ของใครผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนมีบทบาทสำคัญในการกำหนด และมิใช่การทำอย่างลวกแบบสุกเอาเผากิน ก็จะทำให้เกิดการขัดแย้งทางการเมืองได้ แม้ว่าจะไม่ติดยึดค่านิยมที่เป็นกลาง แต่ก็เป็นค่านิยมที่มุ่งตัวบุคคลมากกว่าหลักการ และทำให้เป็นช่องว่างในการถูกโจมตีได้ จึงต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นหนทางไกล่เกลี่ยกันได้ หรือการใช้พลังของประชาชนในการตัดสินใจด้วยซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็เป็นความชอบธรรมที่ดีที่สุด
จากตำราของเขาที่ชื่อว่า "Administrative State" (รัฐบริหาร) เขาเป็นนักวิชาการที่มีแนวคิดในการโหมกระแสรัฐประศาสนศาสตร์อย่างท้าทายในยุคนั้น ประการแรกเขามีทัศนะว่ารัฐประศาสนศาสตร์
ปลอดจากค่านิยม (หมายถึงเน้นข้อเท็จจริง),ไม่เล่นพรรคเล่นพวก, เป็นสาขาสังคมศาสตร์ทีให้คำสัญญาว่าจะทำให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประการที่สองเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาโต้แย้งว่านักวิชาการสายบริหารได้รับแรงขับเคลื่อนจากปรัชญาทางการเมือง ประเด็นปัญหาสำคัญของปรัชญาทางการเมืองก็คือ
1. โดยธรรมชาติมนุษย์ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า (Good Life) เป็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการสังคมที่ดี
2. กฎเกณฑ์ของการปฏิบัติ หรือวิธีการปฏิบัติที่จะต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน
3. ปัญหานั้นก็คือว่าใครควรเป็นคนถือกฎนี้
4. คำถามก็คือว่าอำนาจรัฐควรจะแบ่งแยกหรือตัดส่วนออกไป
5. คำถามก็คือว่าจะรวมศูนย์อำนาจ หรือกระจายอำนาจ
6. หรือมีคุณธรรมที่สอดคล้องต่อเอกภาพแห่งรัฐและระบบสหพันธรัฐ
จากวาทกรรมจึงมีคำถามจาก ไซมอน (Simon) ว่า "คุณมีความคิดเห็นประการใดเกี่ยวกับการบริหาร
ของรัฐบาลประชาธิปไตยสมัยใหม่"
วอลโด ตอบว่า "การบริหารมักถูกเรียกร้องให้เป็นแก่นสำคัญของรัฐบาลประชาธิปไตยสมัยใหม่ และเรียกร้องให้ช่วยแสดงความสมเหตุสมผลของหลักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ทั้งหลาย นอกจากจะเรียกร้องในเรื่องคุณธรรม ยังหมายถึงว่าทฤษฎีประชาธิปไตยจะต้องเกี่ยวข้องกับการบริหาร และทฤษฎีการบริหารจะต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบประชาธิปไตย ปรัชญาการเมืองแฝงเร้นในนักวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ ไม่ได้มีความเพียรพยายามที่จะช่วงชิงประชาธิปไตย แต่หมายถึงการรักษาประชาธิปไตยให้อยู่ในครรลองด้วย อย่างน้อยข้าพเจ้ามีทัศนะว่าแนวคิดประชาธิปไตยและความวุ่นวายยุ่งเหยิงของประชาธิปไตยจะต้องนำกลับไปสู่ทฤษฎีทางการบริหาร นักวิชาการสายบริหารจะต้องตระหนักว่าหลักการสำคัญที่เรียกว่า "ประสิทธิภาพ" ไม่ใช่การมีค่านิยมที่เป็นกลาง และมิใช่ประสิทธิภาพที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่สบายใจด้วยหลักการประชาธิปไตยซึ่งจะต้องตระหนักในจุดนี้ ในบทความ American Political Science Review ได้แยกแยะให้เห็นการวิพากย์การบริหารของ เฮอร์เบอร์ต เอ.ไซมอน ซึ่งวอลโดมองว่ามันมีความเป็นไปได้ของบริหารศาสตร์ (Science of Administration) ซึ่งพอจะคิดได้ว่าการบริการ (มีข้อจำกัด) ในการเอาใจใส่เกี่ยวกับการตัดสินใจที่เน้นข้อเท็จจริงในฐานะที่ต่อต้านค่านิยม ซึ่งไซมอนมีความเห็นว่าการตัดสินใจภายใต้ข้อเท็จจริงมีความสำคัญต่อสัจจธรรมทางการบริหาร และจะต้องถูกชักนำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่มุ่งตรงต่อเป้าหมายประสิทธิภาพโดยรวม แต่วอลโดยเขาไม่เห็นด้วย โดยเขาโต้แย้งว่าไซมอนนำเอาปัญหามาดัดแปลงโดยใช้หลักการแยกการเมืองออกจากการบริหารเพื่อการแบ่งงานของหน่วยงานเท่านั้น ซึ่งไซมอนก็ตั้งคำถามว่า "ทำไม" ซึ่งวอลโดยก็โต้ตอบว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการรักษาทฤษฎีการบริหารแบบดั้งเดิมนั่นก็คือเน้นเรื่องประสิทธิภาพ ไซมอนก็ถามว่า "และประสิทธิภาพมันจะผิดพลาดอะไร" โดยวอลโดมองว่าประสิทธิภาพไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ทางด้านวิชาการที่คัดค้านการเมือง เพราะว่าการบริหารคือการเมือง ประสิทธิภาพโดยตัวของมันเองแล้วคือการเรียกร้องทางการเมืองต่างหาก ซึ่งไซมอนถามว่าให้ยกตัวอย่างมา วอลโดก็ตอบว่าใครหล่ะจะเป็นผู้ประเมินว่าเป็นประสิทธิภาพของใคร ของห้องสมุดหรือกระทรวงกลาโหม ถ้าหากว่า.. ประสิทธิภาพหมายถึงสัดส่วนปัจจัยนำเข้า(input) และปัจจัยนำออก(output) แต่มีทางเลือกหนึ่งก็คือปัจจัยนำเข้าและนำออกจะต้องประเมินทั้งสองอย่าง แม้ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่เป็นวัตถุประสงค์ที่จะโจมตีได้โดยทางเลือกที่เป็นข้อเท็จจริง ในบรรดาทางเลือกเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยกับการตัดสินใจเชิงค่านิยม ไม่ใช่เพียงข้อเท็จจริง ดังนั้นประสิทธิภาพจึงยากที่จะมีค่่านิยมที่เป็นกลาง (value neutral) (Stone 2002 p. 65) ส่วนไซมอนบอกให้วอลโดช่วยอ่านเนื้อหาส่วนที่เหลือในการปกป้องความคิดของคุณเอง ซึ่งวอลโดให้ทัศนะว่าปัญหาสำคัญของทฤษฎีการบริหารตามหลักประชาธิปไตยในฐาะที่เป็นทฤษฎีประชาธิปไตยทั้งมวล ก็คือทำอย่างไรจึงจะไกล่เกลี่ยกันได้ (how to reconcile democracy) ซึ่งทำให้ไซมอนหายข้อข้องใจ
จากอุธาหรณ์ของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงทางการบริหาร นับว่าทั้งสองท่านเป็นกูรูทางการบริหารศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เมื่อมามองการเมืองไทยที่มีการขัดแย้ง หรือทุ่มเถียงไม่มีวันจบ เพราะไปยึดติดกับวาทกรรมที่มีความคิดแตกต่าง แต่ไม่สามารถรอมชอมกันได้ เช่นการขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะต้องมีการรอมชอมทางความคิดมากกว่าการเน้นเอาชนะตามความคิดเห็นของตนฝ่ายเดียว โดยไม่รับฟังเสียงประชาชน แม้กระทั่งการมุ่งนิรโทษกรรมก็ไม่ได้ไถ่ถามประชาชนก่อน แต่เป็นเพียงผู้มีความคิดเห็นคนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่เสี่ยงภัยต่อการนำไปใช้อย่างผิด ๆ ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ของใครผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนมีบทบาทสำคัญในการกำหนด และมิใช่การทำอย่างลวกแบบสุกเอาเผากิน ก็จะทำให้เกิดการขัดแย้งทางการเมืองได้ แม้ว่าจะไม่ติดยึดค่านิยมที่เป็นกลาง แต่ก็เป็นค่านิยมที่มุ่งตัวบุคคลมากกว่าหลักการ และทำให้เป็นช่องว่างในการถูกโจมตีได้ จึงต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นหนทางไกล่เกลี่ยกันได้ หรือการใช้พลังของประชาชนในการตัดสินใจด้วยซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็เป็นความชอบธรรมที่ดีที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น