บทความ

ประเทศไทยถูกครอบงำด้วยระบบการเมืองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554           การครอบงำทางการเมืองไทย มีมาเป็นเวลามากกว่า 60 ปี ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไทยไม่ได้มีสิทธิทางประชาธิปไตยมานาน แต่เมื่อสังคมไทยเจริญด้วยข้อมูลข่าวสาร ทำให้การเข้าถึงความรู้ข้อมูลข่าวสารมีมากขึ้น  ซึ่งการครอบงำนั้นเหมือนกับกะลาภิวัฒน์สังคมไทย ทำให้ประชาธิปไตยไม่สามารถเป็นของประชาชนไทยส่วนใหญ่   และทำให้ผลประโยชน์ของชาติตกทอดไปสู่บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจยึดโยงกับระบบย่อยต่าง ๆ ของสังคม   จะเห็นว่าการแสดงออกของผู้มีความรู้ แต่ไม่เข้าใจปัญหาสังคม จึงมักมองข้ามบุคคลที่เสียเปรียบสังคมเสมอ นั่นก็คือมักมองแบบอัตวิสัย แต่ไม่เข้าใจภาวะวิสัย จึงสะท้อนบุคลิกที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือพวกชอบไต่เต้าทางสังคมที่เป็นระบบอุปถัมภ์ โดยไม่นิยมระบบคุณธรรม  ซึ่งปัจจุบันระบบอุปถัมภ์ครอบงำไปหมดทั้งระบบราชการ และระบบธุรกิจ เพียงแต่ระบบธุรกิจดีกว่าทางภาคราชการ เพราะต้องการคนเก่งไปทำงาน  แต่การเป็นคนดึมาทำงานอาจไม่ประสบความสำเร็จ หรือพาให้ชาติอยู่รอดได้ กล่าวคือต้องเป็นทั้งคนเก่ง และคนดี แต่คำว่าดีไม่ใช่การผูกขาดความคิดเฉพาะกลุ่มบุคคลของสังคม และเนื่องจากความด

ผู้ที่แอบอ้างการรักชาติอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีประชาชนอยู่ในหัวใจ คือผู้อาจกลืนชาติได้

        ผู้ที่แอบอ้างการรักชาติอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีประชาชนอยู่ในหัวใจ คือผู้อาจกลืนชาติได้ ความรักชาติเป็นความรักที่มีอยู่ในใจ และเป็นความรักที่มีต่อประชาชนซึ่งหมายถึงชาติไทย แม้แต่วันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันชาติของประชาชนยังไม่มี  ดังนั้นคำว่ารักชาติลอย ๆ โดยไม่มีคำว่าประชาชนอยู่ในหัวใจเลย   ความรักชาติไม่ได้หมายถึงตัวเองทำอะไรก็ได้ ขัดใจประชาชนก็ได้หรือไม่ฟังเสียงประชาชนแล้วบอกว่้าตัวเองรักชาติ   ขนาดที่ประชาชนเรียกร้องความต้องการหากผู้ปกครองประเทศไม่ฟังเสียงแล้ว  จะเป็นความรักชาติได้อย่างไร เพราะชาติคือประชาชนไม่ใช่คำว่าชาติของบุคคลเพียงบางกลุ่ม, บางคนเท่านั้น เท่ากับการรักชาติเป็นความรักเลื่อนลอย     ความรักชาติต้องเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย หากไม่มีจิตสำนึกจิตวิญญาณประชาธิปไตยแล้วบอกว่าตนเองรักชาติ ซึ่งก็ไม่เีกี่ยวกัน หากรักชาติแต่ไม่รักประชาธิปไตยของประชาชนก็ถือว่าไม่รักชาติแล้ว หรือทำลายประชาชนก็ถือว่าทำลายชาติแล้ว    การสังหารประชาชนย่อมผิดพลาดแรงกว่าการคอรัปชั่น เพราะการคอรัปชั่นไม่ทำให้คนต้องสูญเสีย  ดังนั้นคำว่ารักชาติจึงเป็นวาทะกรรมที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นคำพูดลอยลม

การปฏิรูปการศึกษาในต่างประเทศ

        สิ่งใดที่ทำให้ประเทศต่าง ๆมีระบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ระดับโลก   นายวิเวียน สจ๊วต ผู้วางแนวทางอาวุโสต่อสังคมเอเซีย  ได้เสนอข้อแนะนำต่อเมืองและรัฐโดยมีพื้นฐานเกี่ยวกับบทเรียนหลายบทเรียนในหนังสือเล่มใหม่ของหล่อน   การศึกษาระดับโลก: บทเรียนจากตัวแบบจำลองนานาชาติของความเป็นเลิศและนวัตกรรม (ASCD ปี 2012)         การปฏิรูปมากมายหลายประการที่ได้นำเสนอในระบบโรงเรียนทั่วประเทศในทุกปีในหลักสูตรโบราณที่ผ่านมา,ธรรมาภิบาล,เทคโนโลยี่และอื่น ๆ แต่เคราะห์ไม่ดีที่ส่วนใหญ่ล้มเหลวต่อการบรรลุความสำเร็จในการปรับปรุงเนื้อหาสาระสำคัญในความสัมฤทธิผลของนักศึกษาที่การสนับสนุนถูกคาดหวังเพื่อทั้งหมด  ผลงานการศึกษาของสหรัฐอเมริกาลดต่ำลงในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา                                                                           ปัจจุบันนี้เรารู้ว่าประเทศอื่น ๆ จำนวนมากได้นำการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากในการกระตุ้นการปรับปรุงการศึกษาในระยะเวลาอันสั้น และในขอบเขตที่กว้างขวาง ความสำเร็จทั้งหลายในการปรับปรุงโรงเรียนมากมายนันก็คือการสร้างแรงบันดาลใจ (inspiring)แต่อะไรคือสิ่ง

ความหมายของคำว่าการศึกษา (Education)

      การศึกษาในเหตุผลโดยทั่วไปคือ รูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ซึงประกอบด้วยความรู้,ทักษะ,และนิสัยของกลุ่มบุคคลที่ได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งโดยผ่านการสอน,การฝึกอบรมหรือการวิจัย   บ่อยครั้งที่การศึกษามักเกิดขึ้นภายใต้คำแนะนำของผู้อื่น แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับงานสอนโดยอัตโนมัติ   ประสบการณ์ใด ๆที่มีผลต่อรูปแบบของวิธีการคิด, รู้สึกหรือกระทำอาจพิจารณาได้จากการศึกษา   การศึกษาโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นขั้นตอนเช่นก่อนเข้าเรียน, ประถมศึกษา,มัธยมศึกษาและระดับวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยหรือผู้ฝึกงาน  สิทธิในการได้รับการศึกษาได้ให้ความสำคัญโดยผ่านจากหลายรัฐบาล ในระดับโลกตามมาตรา 13 ของสหประชาชาติในปีค.ศ.1966 ว่าด้วยสิทธิทางวัฒนธรรม,สังคม,เศรษฐกิจของสนธิสัญญานานาชาติกำหนดถึงสิทธิที่ทุกคนจะพึงได้รับการศึกษา แม้ว่าการศึกษาเป็นภาคบังคับในทุกสถานที่ในวัยที่ต้องเข้าเรียน,  การเข้าเรียนโรงเรียนมักจะไม่มีผู้ดูแล และครอบครัวของชนกลุ่มน้อยในการเลือกสรรโรงเรียนที่ใกล้บ้าน, การเรียนผ่านอีเลอร์นนิ่งหรือสิ่งที่คล้ายคลึงกันในการนำมาใช้กับเด็กนักเรียน       การศึกษาเริ่มต้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์  ในขณะท

ขายสินค้าไทยบน Amazon ดีกว่า eBay มากกว่า 10 เท่า!

นิสัย 9 อย่างที่่ควรเลี่ยงในการทำงาน

         เรื่องที่ไม่ควรทำมักจะดีกว่าเรื่องที่ควรทำนำไปสู่ความสำเร็จกับการยกระดับผลงาน เหตุผลง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่คุณไม่ทำเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้   ต่อไปนี้เป็นนิสัยทั่วไปและทำให้เกิดความเคร่งเครียดสำหรับผู้ประกอบการและพนักงานออกฟิศควรจะขจัดเสีย   สิ่งต่อไปนี้จะเป็นคำอธิบายรายละเอียดที่เน้นใช้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น   ก็จะทำให้คนมีการจัดลำดับความสำคัญอย่างสูงคือสิ่งที่เรียกว่าเป็นรูปแบบการกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ดังนี้: 1. อย่าได้รับโทรศัพท์จากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน  จะช่วยให้รู้สึกเป็นอิสระจากความแปลกใจจากผู้อื่น  แต่อย่างได้ประหลาดใจ มันเป็นเพียงเป็นผลในสิ่งสอดแทรกที่ไม่ต้องการและเป็นตำแหน่งของการเจรจาต่อรองที่ไม่ดี จงใช้วอยส์เมลล์จะดีกว่า 2. อย่าได้อีเมลล์ครั้งแรกในตอนเช้าหรือครั้งสุดท้ายในตอนกลางคืน  การตะเกียกตะกายเสียก่อนในการจัดลำดับความสำคัญของคุณและแผนของคุณในวันนั้น และในเวลาต่อมาคุณก็จะทำให้เป็นโรคนอนไม่หลับ  อีเมลล์สามารถคอยได้จนเวลา 10.00 น.เช้า  หลังจากคุณได้ทำในเรื่องสำคัญเรื่องสองเรื่องเป็นอย่างน้อย 3. อย่าได้ตกปากรับคำกับการประชุมหรือโทรศัพท์ในวาระการ
ลักษณะผู้นำทางการเมืองที่ประชา ชนส่วนใหญ่เชื่อถือศรัทธา (Characteristics of Trustworthy Political Leaders)               ผู้นำที่ดี เป็นผู้นำที่มีเป้าหมายสูงสุดขอ งตัวเอง เป็นรูปแบบสูงสุดของการเจริญเติ บโตของมนุษย์ คนที่มีเป้าหมายสูงสุดเป็นคนที่ ทำงานอย่างเต็มที่ ในอดีตที่ผ่านมา ผมได้เขียนอย่างกว้างขวางเกี่ยว กับ ลักษณะของคน ที่มีเป้าหมายสูงสุด ของต นเอง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้จากบท ความนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ลักษณะด้านล่างที่เกี่ยวข้อง อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ในการเป็นผู้นำที่ดี เป็นคุณค่าการให้ความสนใจกับสิ่ งเหล่านี้ และนำพวกเขา เข้าสู่กาพิจารเมื่่เรา กำลังทำ ทางเลือกที่ เป็นไปได้ ผู้ที่เรา เลือกที่จะ เป็นผู้นำที่ดี : 1. มีความเป็นธรรม และมีจุดประสงค์ชัดเจน ผู้นำทางการเมืองที่ดีไม่ได้ชี้ นำสิ่งที่เป็นไปตามความเห็นของเ ขา แต่เป็นข้อเท็จจริงและการตัดสิน ใจบนพื้นฐานของเขาในเรื่องนั้น เขาใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ และมีการกลั่นกรองเพื่อให้การตั ดสินใจในการวินิจฉัยและเข้ามาแก ้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ในทำนองเดียวกันเขายืนอยู่บนควา มเชื่อของเขาเองกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น จากการสังเกต ในขณะที่